น.ร.หญิงตบกันพร้อมถ่ายคลิปประจานโผล่อีกแล้ว
คราวนี้ที่ลำพูน กลุ่มน.ร.รุ่นพี่ม.4 รุมตบ-ทำร้ายรุ่นน้องม.3 จนสลบคาโรงเรียน ช่วงระหว่างพักกลางวัน มีการถ่ายคลิปนาทีรุมตื้บแบบไร้ปรานีเอาไว้โชว์ จนกลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้นมา โรงเรียนตัดสินใจเด็ดขาด ไล่ออกทันที 5 คน หลังสอบแน่ชัดจนรับสารภาพ ที่เหลือพวกกองเชียร์ละเว้นไว้ แฉเหตุจากแย่งจีบผู้ชายม.4 คนเดียวกันจนเกิดเขม่น ทางด้านแม่เด็กเหยื่อโหดรุดแจ้งความเอาเรื่องถึงที่สุด เพราะลูกเจ็บหนักต้องนอนรักษาตัวร.พ.ร่วมอาทิตย์ ขณะที่ผู้ว่าฯเต้นผาง เรียกประชุมหน่วยงานเกี่ยวข้องแก้ปัญหาด่วน
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 20 ก.ย.
นายชิดพงศ์ ฤทธิประศาสน์ ผวจ.ลำพูน เรียกพล.ต.ต.ณธนนท์ สิงหรา ณ อยุธยา ผบก.จว.ลำพูน เข้าสอบถามกรณีมีนักเรียนของโรงเรียนอุโมงค์วิทยาคม ต.อุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน กว่า 10 คน รุมทำร้ายร่างกายนักเรียนด้วยกันจนได้รับบาดเจ็บ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า 10 วัน เหตุเกิดบนอาคารเรียนชั้นที่ 4 ของโรงเรียน เมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยนายชิดพงศ์เรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าประชุมกันที่ห้องประชุมเล็ก ศาลากลางจังหวัดลำพูน
จากการรวบรวมข้อเท็จจริง ได้ความว่า
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ย. เวลา 12.30 น. มีกลุ่มนักเรียนหญิงชั้นม.4 จำนวน 15 คน ขึ้นไปพักผ่อนที่บนอาคารเรียนชั้นที่ 4 ของโรงเรียนอุโมงค์วิทยาคม หลังจากพักทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ระหว่างนั้น นักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มเกิดมีปัญหาไม่พอใจด.ญ.มาศ (นามสมมติ) อายุ 13 ปี นักเรียนม.3 รุ่นน้อง โดยสาเหตุจากการแย่งกันจีบผู้ชายคนเดียวกันซึ่งเป็นนักเรียนม.4 พอคนแรกเริ่มลงทำร้ายด.ญ.มาศ ที่เหลือก็เฮโลรุมซ้อม มีทั้งกดคอให้นั่งลงกับพื้นแล้วพากันรุมตบหน้า เตะก้านคอ และนักเรียนบางคนใช้กระเป๋าหนังสือทุบกลางหัว กดตัวลงนอนกับพื้นแล้วรุมกระทืบจนสลบมอบคาพื้นซีเมนต์ บางคนจิกดึงเส้นผมจนขาดติดมือไป โดยมีนักเรียนคนหนึ่งใช้โทร.มือถือถ่ายคลิปวิดีโอไว้ประจานด้วย ขณะที่หลายๆ คนในกลุ่มก็ทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ โดยไม่ได้ลงมือทำร้ายด้วยแต่อย่างใด
หลังจากก่อเหตุแล้วกลุ่มนักเรียนทั้งหมดได้หลบลงจากอาคารหนีไปคนละทิศละทาง
ส่วนด.ญ.มาศหลังฟื้นขึ้นมา ก็ลงไปแจ้งให้อาจารย์ทราบว่าถูกทำร้ายร่างกาย แต่อาจารย์กลับด่าด.ญ.มาศ หาว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ชอบหาเรื่อง เจ้าตัวจึงโทรศัพท์ไปแจ้งให้กับนางเกตุพันธ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี บ้านอยู่ต.อุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน ซึ่งเป็นมารดา บอกว่าถูกเพื่อนนักเรียนซ้อมจนสลบคาโรงเรียน นางเกตุพันธ์จึงได้เดินทางมารับตัวด.ญ.มาศไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลลำพูน โดยไม่ได้แจ้งเหตุให้ทางอาจารย์ของโรงเรียนทราบ เนื่องจากเห็นอาการของลูกสาวเจ็บมาก เมื่อถึงโรงพยาบาล แพทย์ได้รีบนำตัวด.ญ.มาศเข้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ลงความเห็นว่าบาดเจ็บมาก ต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานกว่า 1 อาทิตย์
ต่อมาทางผู้ปกครองของด.ญ.มาศ เข้าแจ้งความกับร.ต.อ.สมาน ทองน้อย ร้อยเวร สภ.อ.เมืองลำพูน
ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มนักเรียนที่รุมซ้อมลูกของตน โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวกลุ่มเด็กนักเรียนที่ก่อเหตุทั้งหมดมาสอบสวน โดยกลุ่มนักเรียนให้การว่า ก่อนรุมทำร้ายร่างกายด.ญ.มาศ มีจำนวน 10 กว่าคนจริง แต่ลงมือทำร้ายจริงๆ เพียง 6 คน มี 1.ด.ญ.เอ (นามสมมติ) 2.ด.ญ.พร (นามสมมติ) 3.ด.ญ.พี (นามสมมติ) 4.ด.ญ.อ้อย (นามสมมติ) 5.ด.ญ.ทราย (นามสมมติ) และ 6.ด.ญ.พลอย (นามสมมติ) เป็นเด็กนักเรียนมีบ้านพักอาศัยอยู่ในเขตต.อุโมงค์ทั้งหมด และทั้งหมดรับสารภาพว่ารุมทำร้ายร่างกายด.ญ.มาศจริง ยกเว้นด.ญ. พลอยไม่ได้ลงมือทำร้ายด้วย แต่เป็นคนปรบมือเอาใจช่วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับตัวกลุ่มนักเรียนทั้งหมดไว้ดำเนินคดี โดยกล่าวหาร่วมกันรุมทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บทั้งกายและจิตใจ และจะได้ส่งตัวไปให้ศาลคดีเด็กและเยาวชนพิจารณาต่อไป
ในส่วนของทางโรงเรียนอุโมงค์วิทยาคม พอทราบเรื่องในเวลาต่อมา ก็มีคำสั่งไล่ออกกลุ่มนักเรียนที่ก่อเหตุไปแล้วเมื่อตอนสาย ของวันเดียวกันนี้
เนื่องจากทำความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับทางโรงเรียน ปรากฏว่าชาวบ้านที่มีลูกหลานเรียนอยู่ในโรงเรียนอุโมงค์วิทยาคม ต่างออกมาวิจารณ์การตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียน มองว่าการไล่นักเรียนออกเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ การแก้ไขที่ถูกต้องครูควรมองปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมากกว่า เพราะเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นนอกโรงเรียน การไล่นักเรียน 5 คนออกจากโรงเรียนเป็นการสร้างมลทินให้กับเด็ก
นร.หญิงม.4รุมม.3 คลิปโหด จิกหัวตบ-สลบในรร.
นางเกตุพันธ์ มารดาของด.ญ.มาศ ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า
รู้สึกเสียใจมากที่ลูกถูกกระทำแบบนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องแทบไม่น่าเชื่อ ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น หลังเกิดเหตุ นายขยัน วิพรหมชัย นายกเทศมนตรีเทศบาลต.อุโมงค์ พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกัน แต่ตนเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่ยอมให้ได้ จะดำเนินการให้ถึงที่สุด เพราะว่ากลุ่มนักเรียนที่ก่อเหตุไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย กระทำได้แม้กระทั่งในโรงเรียนที่มีครูบาอาจารย์อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้นักเรียนกลุ่มที่ก่อเรื่อง ยังได้ขู่สำทับลูกสาวของตนว่า หากนำเรื่องนี้ไปบอกใคร มีหวังต้องตายแน่ อย่างนี้ถือว่านักเรียนกลุ่มนี้ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
รายงานข่าวเปิดเผยว่า
สาเหตุการทำร้ายร่างกายครั้งนี้ ทางฝ่ายนักเรียนหญิงกลุ่มที่ก่อเหตุให้การว่า เพราะนักเรียนรุ่นน้องดังกล่าว ชอบเอาเรื่องส่วนตัวของรุ่นพี่ไปเที่ยวเล่าให้คนอื่นฟัง ขณะเดียวกัน ก็มีกระแสข่าวว่าจริงๆแล้ว เกิดจากเรื่องชอบผู้ชายม.4 คนเดียวกัน ซึ่งจะต้องมีการสอบสวนให้แน่ชัดอีกทีว่าสาเหตุจากเรื่องใดกันแน่
ทางด้านนายวิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวว่า
ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ ถือเป็นเรื่องแปลกมากที่ความรุนแรงเกิดขึ้นกับเด็กเล็กและเป็นผู้หญิง โดยตนจะมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปหามาตรการ และกำชับไปยังโรงเรียน เพราะการที่เด็กมาเรียนหนังสือที่โรงเรียน ทางโรงเรียนจะต้องมีหน้าที่ดูแลให้นักเรียนเรียนอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขและสมานฉันท์ ไม่ใช่มาทำร้ายร่างกายหรือมาข่มเหงกัน เพราะจะถือได้ว่าหลักการปกครองจะไม่มีอำนาจ
กรณีที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องกฎหมายบ้านเมืองที่จะเอาผิดกับนักเรียนรุ่นพี่
คิดแต่เพียงว่าโรงเรียน คือ บ้าน ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่ ต้องทำหน้าที่ดูแลคนในบ้านให้ดี มีปัญหาอะไรก็ต้องช่วยเหลือแก้ไข ทั้งนี้ผมมองว่าหากปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เชื่อว่าความรุนแรงในโรงเรียนจะมีเพิ่มขึ้น อาจถึงขั้นลากปืนมายิงกันในโรงเรียนเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ศธ. จะต้องศึกษาอย่างจริงจังต่อไป นายวิจิตร กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นโรงเรียนจะต้องเร่งหาทางแก้ปัญหาที่จะทำให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายไม่สูญเสียโอกาสทางการศึกษา และยังสามารถเรียนร่วมกันได้อยู่ โดยเรื่องนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) จะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วย จะปล่อยให้โรงเรียนแก้ปัญหาเพียงลำพังไม่ได้
ทั้งนี้ตนไม่อยากให้หลายฝ่ายมองว่าโรงเรียนพยายามปกปิดข่าวเพื่อเคลียร์ปัญหาเอง
ซึ่งทางโรงเรียนคงไม่ทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน และเชื่อว่าโรงเรียนได้พยายามหาทางแก้ปัญหาอย่างดีที่สุด ส่วนกรณีที่วัยรุ่นปัจจุบันนิยมถ่ายคลิปวิดีโอกันมากนั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องของวัยที่ชอบความตื่นเต้นมากกว่าตามพัฒนาการของเด็ก ซึ่งโลกยุคใหม่เด็กมีโอกาสเข้าถึงความรุนแรงมากกว่าโลกยุคเก่า จึงทำให้มีการลอกเลียนแบบและนำไปใช้ในโรงเรียน
ส่วนคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า
เพิ่งได้รับรายงานกรณีดังกล่าว ทราบว่าเบื้องต้นผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ลำพูน เขต 1 ได้มีการแยกคู่กรณีออกจากกัน โดยย้ายนักเรียนที่ก่อเหตุไปเรียนในพื้นที่อื่น ไม่เช่นนั้นหากยังเจอหน้ากันอยู่อาจเกิดการต่อว่ากัน และทำให้เหตุการณ์ไม่สามารถคลี่คลายไปได้ แต่ในส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น ขณะนี้ตนได้มอบหมายให้ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เดินทางไปตรวจสอบในพื้นที่แล้ว รวมถึงทราบว่าเหตุการณ์ผวจ.ลำพูนให้ความสนใจและมีการประชุมร่วมกับผู้บริหารเขตพื้นที่ฯ ผู้บริหารโรงเรียนในวันนี้ด้วย ดังนั้นคาดว่าภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ทราบรายละเอียดอื่นๆ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางโรงเรียนอาจจะต้องเชิญจิตแพทย์มาพูดคุยกับนักเรียน
รวมถึงโรงเรียนจะต้องมีระบบการติดตามนักเรียนที่เข้มแข็งมากขึ้น ต้องรู้ล่วงหน้าว่า เด็กกลุ่มใดในโรงเรียนที่ไม่ถูกกันบ้าง เพราะความขัดแย้งระหว่างเด็กเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น แต่หากโรงเรียนรู้ล่วงหน้าก็จะสามารถชี้แจงและทำความเข้าใจกันได้ เพราะบางครั้งเด็กอาจดูรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไร เพียงแต่ในบางสถานการณ์อารมณ์ หรือเพื่อนอาจพาไป ดังนั้นโรงเรียนต้องมีระบบติดตามให้มากขึ้น คุณหญิงกษมา กล่าว
ด้านนายมนู มณีรัตน์ ผู้อำนวยการ สพท.ลำพูน เขต 1 กล่าวว่า
ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการโรงเรียนแล้วว่าได้ย้ายนักเรียนรุ่นพี่ที่ซ้อมรุ่นน้อง 4 คนและอีก 1 คนในเวลาต่อมา ไปเรียนโรงเรียนอื่นแล้วเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากันตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา และได้รายงานต่อเลขาธิการ กพฐ.แล้ว แต่เพราะนักเรียนกลุ่มนั้นยังคงอาศัยอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน จึงไปข่มขู่ว่าให้ระวังตัวไว้ ทำให้ผู้ปกครองไม่สบายใจ แต่โรงเรียนไม่สามารถไปจัดการอะไรได้แล้วเพราะอยู่นอกโรงเรียน สำหรับนักเรียนที่ถูกทำร้าย ตนกำลังคิดจะหาโรงเรียนใหม่ให้หากนักเรียนต้องการ เพื่อเลี่ยงเจอสภาพแวดล้อมเดิม แต่ทั้งนี้คงเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคู่กรณีไม่ได้ เพราะอยู่ละแวกบ้านเดียวกัน จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจต้องเข้ามาดูแล และผู้ปกครองนักเรียนคู่กรณีต้องกวดขันดูแลลูกตัวเองไม่ให้ทำตัวเป็นมาเฟียตั้งแต่เล็ก
ตั้งแต่เกิดเรื่องมีโทรศัพท์ต่อว่าและแสดงความเห็นใจเข้ามาจำนวนมาก
ทั้งจากผู้เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป มีการต่อว่าผู้ว่าฯ และผู้อำนวยการ สพท.ว่าไม่ดูแลนักเรียน โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนและคณะกรรมการสถานศึกษาต้องดูแล ซึ่งโรงเรียนก็ได้แก้ปัญหาโดยย้ายเด็กก่อเหตุในทันทีแล้ว ผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและถือเป็นอุทาหรณ์ไม่อยากให้เกิดในสพท.อื่น จริงๆ แล้วนโยบายความรู้คู่คุณธรรมของรัฐบาล เป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง แต่จะดำเนินการได้ผลหรือไม่อยู่ที่ผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะนักเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กดี มีเพียงส่วนน้อยที่ทำผิดแล้วกลบเด็กส่วนใหญ่ที่ทำดี
อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้ ผู้ว่าฯ ได้เรียกประชุมผู้แทน สพท. สถานศึกษาและฝ่ายเกี่ยวข้องเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง
และช่วงบ่ายยังได้ประชุมร่วมกับผู้ปกครองนักเรียน 2 ฝ่ายเพื่อเคลียร์ปัญหา สร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือให้ช่วยกันเรียกชื่อเสียงของจังหวัดกลับคืนมาเพราะไม่อยากให้เกิดซ้ำอีก" ผอ.สพท.ลำพูน เขต 1 กล่าว