ทั่วโลกเตรียมรับมือภูมิอากาศ...วิปริต

ปรากฏการณ์หิมะตกหนักกลางเมืองหลวงบูเอโนสไอเรส เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 สร้างความตื่นตระหนกให้ชาวอาร์เจนตินาทั่วประเทศ


ชาวเมืองที่อายุต่ำกว่า 89 ปี จะไม่เคยเห็นหิมะตกมาก่อนในชีวิต เนื่องจากปุยหิมะสีขาวบางๆ ตกจากฟากฟ้า ปกคลุมพื้นดินกรุงบูเอโนสไอเรสครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2461 สำนักพยากรณ์อากาศอาร์เจนตินา วิเคราะห์ว่า มวลอากาศเย็นจัดที่พัดมาจากทวีปแอนตาร์กติกา ปะทะกับมวลความชื้นจากแรงกดอากาศต่ำ ซึ่งปกคลุมพื้นที่สูงทางตะวันตกและทางตอนกลางของอาร์เจนตินา ทำให้อุณหภูมิลดลงถึงติดลบ 22 องศาเซลเซียส เป็นเหตุให้หิมะตกลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมง

ขณะที่เด็กๆ เล่นขว้างปาหิมะอย่างสนุกสนานนั้น

นักวิชาการด้านโลกร้อนจากทั่วโลก ต่างวิตกกังวลว่า หิมะที่ตกหนักหลังจากห่างหายไปนานเกือบ 100 ปี แสดงให้เห็นถึงวิกฤติความแปรปรวนของภูมิอากาศโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากภาวะโลกร้อน


ส่วนที่ญี่ปุ่นมหันตภัยจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นล่าสุดเมื่อกลางเดือนสิงหาคม ที่ผานมา


แต่ผลลัพธ์เป็นตรงข้ามกับการเกิดหิมะตก นั่นคือ การเกิด "คลื่นความร้อน" ปกคลุมทั่วประเทศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ราย ชายชราวัย 59 ปี นอนตายอยู่ในห้องพักอย่างโดดเดี่ยว เพราะทนคลื่นความร้อนไม่ไหว ขณะที่ประชาชนกว่า 100 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพราะป่วยจากอากาศร้อน


กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น รายงานเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ว่า เมืองโทจิมิซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียว 400 กิโลเมตร อุณหภูมิได้พุ่งสูงถึง 40.9 องศาเซลเซียส

สร้างประวัติศาสตร์ใหม่โดยทำลายสถิติเมืองยามากาตะที่เคยอากาศร้อนที่สุด 40.8 องศาเซลเซียสเมื่อปี 2546 ส่งผลให้รถไฟบางสายต้องหยุดวิ่ง เนื่องจากความร้อนทำให้รางรถไฟพองจนงอตัว ต้องใช้น้ำสาดช่วยลดอุณหภูมิให้เย็นลง  นอกจากญี่ปุ่นแล้ว สถานีอุตุนิยมวิทยาภูมิภาคของทิเบต ได้ประกาศเตือนภัยว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลให้ธารน้ำแข็งละลายเป็นวงกว้างถึง 131 ตารางกิโลเมตรต่อปี และ 3 กรกฎาคม 2550 อุณหภูมิในนครลาซา ทำสถิติสูงสุดถึง 29 องศาเซลเซียส นับเป็นประวัติการณ์ในรอบ 30 ปี


ภาวะโลกร้อน (Global Warming) คือ ปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและผืนมหาสมุทรสูงขึ้น

โดยมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ กักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกสู่บรรยากาศ เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น ภูมิอากาศจึงเกิดการแปรปรวนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ 3 เดือนที่ผ่านมา ความผันผวนของภูมิอากาศส่งผลเสียหายต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ชนิดที่ไม่เคยมีบันทึกมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ


สำหรับประเทศไทยภาวะแปรปรวนของอากาศทำให้ชาวบ้าน 6 อำเภอ ใน จ.พังงา ต้องประสบอุทกภัยครั้งรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายสิบปี


20 สิงหาคม ถนนสายตะกั่วป่า-สุราษฎร์ธานี เผชิญกับพายุฝนกระหน่ำ รวมถึงน้ำป่าไหลหลาก จนพื้นถนนจมอยู่ใต้น้ำกว่า 1 เมตร อ.ตะกั่วป่า สั่งปิดโรงเรียนกว่า 10 แห่ง บ้านเรือนราษฎรจมน้ำกว่า 1,500 หลังคาเรือน ชาวบ้าน ต.บางเตย รายหนึ่ง แสดงความวิตกว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบน้ำท่วมมาก่อน เพราะพังงาเป็นเมืองชายฝั่งทะเล สาเหตุอาจเกิดจากภาวะโลกร้อน และการบุกรุกทำลายป่าโกงกางโดยกลุ่มธุรกิจบ่อกุ้ง


นายทศพร นุชอนงค์ ผู้อำนวยการกองธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี ระบุว่า

ภาวะโลกร้อนได้กัดเซาะชายฝั่งทะเลทั่วประเทศไทยแล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ จากภาวะน้ำทะเลที่เพิ่มสูง ลมแรง และการกระทำของมนุษย์ ส่วนดินถล่มก็เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น ประชาชนควรตระหนักว่า ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องใกล้ตัว สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นางจงกลณี อยู่สบาย ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา ยอมรับว่า ปัจจุบันสภาพภูมิอากาศแปรปรวนมากขึ้น โดยสถิติในรอบ 30 ปี ปริมาณน้ำฝนน้อยลง แต่ปริมาณพายุรุนแรงมากขึ้น กรมอุตุนิยมวิทยาจึงตั้งศูนย์ภูมิอากาศแห่งชาติเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของอากาศ ร่องมรสุม เพื่อเตือนภัยและเฝ้าระวังแล้ว

ด้าน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์ วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิเคราะห์ว่า

ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับสภาวะอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก เหตุการณ์หิมะตกที่อาร์เจนตินา หรือน้ำท่วมที่ จ.พังงา ยังไม่มีนักวิชาการยืนยันว่า เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนหรือไม่ แต่อาจเป็นสัญญาณชี้ให้เห็นถึงความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโลก "น้ำท่วม หรือหิมะตกเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน อาจจะไม่เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนก็ได้ แต่ถ้าเกิดถี่ขึ้น หรือบ่อยขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ก็มีแนวโน้มว่าเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน ส่วนกรณีภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยสะท้อนให้เห็นความไม่พร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติ หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องประเมินการรับมือใหม่ และต้องทำความเข้าใจเรื่องความแปรปรวนของอากาศ เพราะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นวันนี้รุนแรงกว่าในอดีต" ดร.อานนท์ กล่าว


อย่างไรก็ตาม องค์กรสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้ประกาศเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ว่า

ปัญหาโลกร้อนจะเป็นวาระหลักของการประชุมสมัชชายูเอ็นประจำปีนี้ เพื่อให้ทุกประเทศร่วมมือกันหาทางแก้ไข โดยรายงานจากยูเอ็นระบุว่า ภายใน 20 ปีนี้โลกจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลถึงปีละ 7.14 ล้านล้านบาท (2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อต่อสู้กับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์