นางสุรณี กัลยารัตนกุล หรือครูต้อย อดีตครูเกษียณราชการ นำเอกสารเข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวจังหวัดลำปาง โดยครูต้อย เล่าว่า ตนเคยเป็นเลขานุการส่วนตัวของ ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.ลำปาง เนื่องจากถูกผู้อำนวยการโรงเรียนรายดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ ได้ไหว้วานให้ตนไปกู้ยืมเงินจากครูคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นจำนวนเงินรวมกันนับ 10 ล้าน แต่ผู้อำนวยการรายนี้กลับปฏิเสธที่จะชดใช้หนี้ดังกล่าว ปล่อยให้ตนใช้หนี้ดังกล่าวด้วยตัวเอง
ครูต้อยเล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ.2557 ซึ่งขณะนั้นตนเพิ่งเกษียณอายุราชการ ผอ.รายดังกล่าวได้ทาบทามให้มาช่วยงานในสำนักงานเลขานุการผู้อำนวยการ เช่น สั่งให้เบิก-จ่ายเงินค่างวดต่าง ๆ ซึ่งมักจะสั่งด้วยวาจา หรือเป็นการเขียนโน๊ตสั่งไว้ ซึ่งหากผอ.ไม่มีเงิน ก็จะให้ตนไปยืมเงินครูในโรงเรียน หรือคนที่ตนรู้จัก เมื่อเงินเข้ามาก็นำไปคืน ซึ่งทุกคนก็เชื่อใจให้กู้ยืมมาตลอด
กระทั่ง ผอ.ใช้เงินมากเกินไปจนรายได้ที่เข้ามาไม่พอรายจ่าย ตนต้องขายทรัพย์สินส่วนตัวหมดไป 3 ล้านกว่าบาท และต้องถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้ ทั้งยังจะถูกฟ้อง แต่เมื่อนำเรื่องไปบอก ผอ.เพื่อให้หาทางออกก็จะถูกต่อว่า และบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง ซึ่งตนเครียดมากจึงตัดสินใจนำเรื่องบอกกับลูกสาว
ทั้งนี้ ครูต้อย ได้เปิดเผยข้อมูลว่า รายได้ที่เข้ามายังสำนักงานเลขาฯ นั้นได้มาจากค่าเรียนพิเศษช่วงปิดเทอมของนักเรียนชั้นเตรียมอนุบาล, โครงการฝากลูกไว้กับครู (สอนพิเศษช่วงเย็น), ส่วนแบ่งค่าจัดทำอาหารกลางวันเด็ก, การสอนพิเศษของครูตามความสมัครใจ, ค่าเช่าพื้นที่ในโรงอาหาร และค่าใช้บริการสระว่ายน้ำของโรงเรียน
"ดิฉันเริ่มบันทึกไว้ตั้งแต่ พ.ค.57-มี.ค.60 มียอดรับเข้ามาที่บันทึกไว้ยังสำนักงานผู้อำนวยการบางส่วน 21,730,355 บาท เมื่อผู้ปกครองนำเงินมาชำระทางสำนักงานเลขาฯ ก็จะออกเพียงใบเสร็จรับเงินทั่วไปที่เขียนรายการ หรือบางครั้งก็จะประทับตราโรงเรียนบนใบเสร็จให้เท่านั้น ซึ่งก็มียอดอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้บันทึกไว้ และเงินส่วนนี้ไม่ได้เข้าในระบบโรงเรียนแม้แต่บาทเดียว" ครูต้อยกล่าว
เมื่อเงินเข้ามาที่สำนักงานเลขาฯ ผอ.จะเป็นคนสั่งจ่ายเงินส่วนตัวทั้งหมด ซึ่งในห้วงดังกล่าวเงินเข้ามา 21,730,355 บาท ขณะที่รายจ่ายที่จ่ายออกไปให้กับ ผอ.มียอดถึง 42,385,536,41 บาท
ขณะที่ลูกสาวครูต้อยได้กล่าวด้วยน้ำตาว่า ระยะหลังตนเห็นแม่เปลี่ยนไป แม่เครียด จนสุดท้ายได้เล่าเรื่องให้ตนฟัง เพราะเจ้าหนี้มาตามแม่ตลอด และถึงขั้นจะฟ้องร้องแล้ว ล่าสุดได้พยายามติดต่อ ผอ.แต่ก็ไม่รับสาย จึงไปพบทนายความ และให้ภรรยาของ ผอ.ไปเซ็นรับสภาพหนี้กับเจ้าหนี้ โดยตอนแรกภรรยา ผอ.ยินดีที่จะทยอยชำระให้เจ้าหนี้เดือนละ 150,000 บาท แต่หลังจากนั้นก็ไม่ยอมจ่าย ตนจึงร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรม และเขตฯ แต่ดูเหมือนเรื่องจะไม่คืบหน้า ขณะที่ ผอ.เองก็กำลังจะเกษียณ ตนเกรงว่าเมื่อเกษียณไปแล้วจะยิ่งตามตัวยาก และสุดท้ายแม่ก็จะต้องกลายเป็นแพะ รับสภาพหนี้ซึ่งไม่ได้ก่อกว่า 10 ล้านบาทแทน
ขณะที่เจ้าหนี้ 2 ราย ซึ่งรายแรกเป็นครูในโรงเรียนดังกล่าว ให้ครูต้อยยืมเงินเพื่อนำไปให้ ผอ.คนดังกล่าวเป็นจำนวนกว่า 900,000 บาท บอกว่า ทราบว่าครูต้อยเอาเงินไปทำอะไร เพราะบางครั้ง ผอ.จะให้คนขับรถมารอรับเงินเอง ส่วนเจ้าหนี้รายที่ 2 ซึ่งเป็นอดีตครูโรงเรียนเดียวกัน ระบุว่า ตนให้เงินครูต้อยยืมไปให้ ผอ.กว่า 1 ล้านบาท ที่ผ่านมาก็เคยถาม ผอ.เหมือนเจ้าหนี้รายแรก แต่ก็ถูก ผอ.ตะคอก และไม่ให้เข้าพบ ไม่รับโทรศัพท์อีก ตนก็เลยต้องมาให้ครูต้อยติดตามทั้ง ๆ ที่รู้ว่าครูต้อยไม่ได้ยืมเงินไปใช้ส่วนตัวแม้แต่บาทเดียวก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหนี้อีกหลายรายที่ไปกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาให้ ผอ.ยืม แต่สุดท้ายขณะนี้ต้องถูกเจ้าหนี้ตาม ธนาคารตาม เพราะไม่ชำระหนี้ ร้านค้าหลายแห่งตามทวงเงินกับพนักงานขับรถ และคนใกล้ชิด ผอ.เพราะเป็นคนไปเซ็นรับของแทน ผอ.แต่ไม่ยอมชำระเงิน
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้าน ผอ.คนดังกล่าว พบว่าผอ.รายนี้มีรถใช้ส่วนตัวและคนในครอบครัวถึง 5 คัน บ้าน 3 หลังที่อลังการเป็นอย่างมาก โดยหนึ่งในสามหลังเป็นการสร้างบ้าน พร้อมรีสอร์ต โรงแรมม่านรูดอีกด้วย
ด้าน นายสุวัฒน์ พรมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ทราบเรื่องแล้ว แต่การสอบสวนต้องเป็นไปตามระเบียบของข้าราชการครู และต้องสอบรายละเอียดให้ครบถ้วนเพื่อให้ความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายโดยได้สอบในประเด็นว่าโรงเรียนมีการปฏิบัติตามแบบแผนหรือไม่และเงินที่มีปัญหายังอยู่หรือไม่ ส่วนประเด็นหนี้เป็นสินส่วนบุคคลก็ต้องให้ส่วนบุคคลไปฟ้องร้องกันเอง