จากรื้อบาร์เบียร์ถึงรื้อตลาดวัดอุทัยฯ 4 ปี
กับภาพการใช้กำลังจัดการพ่อค้าแม่ขายพ้นตลาด เพื่อจัดสรรที่ดินใหม่ โดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรมและคราบน้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้ง จากวันที่ผู้ประกอบการร้านบาร์เบียร์สุขุมวิทสแควร์ประสบเหตุการณ์อันแสนโหดร้ายถูกกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้ารื้อถอนกลางดึก ถึงวันนี้ 4 ปี ก็ถึงคราวแผงขายของตลาดวัดอุทัยธาราม ดูเหมือนชะตากรรมของพ่อค้าแม่ขายทุกตลาดจะตกอยู่ใต้อิทธิพลเถื่อนคล้ายๆ กัน เพียงแต่รอว่าจะเกิดขึ้นวันใดเท่านั้น
ก่อนฟ้าสาง26 สิงหาคม กลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ปรากฏที่มากว่า 100 คน
บุกเข้าไปรื้อเต็นท์และทำลายข้าวของแผงขายสินค้าทางเข้าวัดอุทัยธาราม ย่านอาร์ซีเอ ถนนกำแพงเพชร 7 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. พ่อค้าบางคนที่นอนเฝ้าแผงขายของถูกปลุกด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมที่จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว กว่าจะตั้งตัวได้กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ล่าถอยไปแล้ว ทิ้งความเสียหายไว้เบื้องหลัง เต็นท์ถูกรื้อทำลายกระจุยกระจาย ข้าวของแตกหักเสียหายเกลื่อนถนน
ในจำนวนแผงขายของมากมายหลายร้อยแผงมี 30 แผงที่ได้รับความเสียหายจนยากเยียวยา โดยเฉพาะด้านจิตใจเจ้าของร้าน เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุทำนองนี้อีกเมื่อใด ?
"สุภาพร สิงห์กลาง" แม่ค้าขายของกิฟท์ช็อป วัย 37 ปี จากหนองคาย รับรู้ข่าวขณะเดินทางไปซื้อของและต้องผ่านตลาด ภาพที่เห็นทำให้เธอหมดเรี่ยวแรงแทบเป็นลม
แผงของสุภาพรเป็น1 ใน 30 แผงที่ถูกรื้อทำลาย
เธอขายของที่ตลาดแห่งนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เสียค่าเช่าพื้นที่ล็อกละ 6,000 บาทต่อเดือน เสียค่าเช่ารายวัน วันละ 50 บาท และค่าเช่าเต็นท์อีกเดือนละ 500 บาท เบ็ดเสร็จแล้วตกเดือนละ 8,000 บาท ซึ่งไม่แพงเลยสำหรับตลาดทำเลทอง เธอรับรู้ข่าวรื้อบาร์เบียร์เมื่อ 4 ปีก่อน ด้วยความหดหู่และภาวนาว่า "อย่าให้เรื่องนี้เกิดกับตัวเองเลย" แต่ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้ยินหรือไม่ก็เพิกเฉยต่อคำภาวนาของผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้
"ตลาดนี้ลูกค้าเยอะ หักต้นทุนแล้วมีกำไรตกวันละพันกว่าบาท ก่อนหน้านี้ขายของแบกับดิน แล้วขยับขึ้นมาขายที่ตลาดแห่งนี้ มีกำไรพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ล่าสุดเพิ่งไปดาวน์รถกระบะมาทำมาหากิน ผ่อนได้แค่ 3 งวด ตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงต่อ" สุภาพร ระบายความอัดอั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ข้าวของประเภทกิฟท์ช็อปแตกหักเสียหายง่ายเกือบทั้งหมดทำให้สุภาพรเครียดมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับอนาคตข้างหน้า ไม่รู้แม้กระทั่งว่า หากไม่ได้ขายของที่นี่แล้วจะไปขายที่ไหนได้อีก ไม่รู้ว่าจะมีลูกค้าเหมือนอย่างที่เป็นอยู่หรือไม่ สุภาพรรู้ดีว่าเหตุการณ์ผ่านไปแล้วหวนคืนกลับไม่ได้ สิ่งเดียวที่ต้องการขณะนี้ก็คือ อยากให้เจ้าของที่มาดูแลและเห็นใจแม่ค้าบ้างเท่านั้น
"ฉันรู้ว่าที่ดินตรงนี้มีปัญหา แต่ไม่รู้ว่ามีปัญหาลักษณะไหน และไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเราจ่ายค่าเช่าตรงเวลา เราผิดตรงไหนถึงทำกันแบบนี้"
ด้าน"วริศรา ม่วงสิงห์" แม่ค้าขายเครื่องสำอาง วัย 41 ปี
ซึ่งร้องไห้จนตาแดงก่ำ นั่งหมดอาลัยตายอยาก ขณะรอแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน บอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นช่างป่าเถื่อนสิ้นดี ! แผงขายเครื่องสำอางของวริศราได้รับความเสียหายพอๆกับร้านกิฟท์ช็อปของสุภาพร ด้วยเป็นสินค้าชิ้นเล็กๆ เสียหายง่าย บัดนี้เธอจึงเหมือนคนหมดตัว เพราะต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าถึง 6 เดือน สินค้าที่เก็บเอาไว้ก็ได้รับความเสียหาย จึงตั้งคำถามเอากับผู้ดูแลตลาดว่า บ้านเมืองมีกฎหมายไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย
"ถ้าจะไม่ให้ขายของที่ตลาด ก็น่าจะบอกกันดีๆ ไม่ใช่ให้คนดูแลมาเก็บเงินทุกวัน แล้วก็มาทำกันแบบนี้"
ตลอดเวลาที่มาขายของณ ตลาดแห่งนี้ วริศราก็รู้ดีว่าตลาดมีปัญหา
มีการนำป้ายประกาศให้ผู้ค้าออกนอกพื้นที่ ทว่าคนดูแลตลาดยืนยันว่าจัดการเคลียร์ปัญหาเรียบร้อยแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเกิดเรื่องจนได้
"ทุกวันนี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดีหากินลำบาก ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย เชื่อว่าทุกตลาดมีผลประโยชน์ทั้งสิ้น แต่ทำไมเมื่อเจ้าของตลาดกับผู้ดูแลไม่เข้าใจกัน ความเดือดร้อนจึงต้องตกมาอยู่กับพ่อค้าแม่ค้า ทั้งที่เราจ่ายค่าเช่าที่ตามกฎระเบียบทุกอย่าง ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตลาดไหนอีก" พร แม่ค้าขายเสื้อผ้า วัย 48 ปี ระบุ
ตลาดทางเข้าวัดอุทัยธารามแห่งนี้ตั้งอยู่ริมถนนพระราม 9 ด้านซ้ายทั้งแถบเป็นแผงขายสินค้านานาชนิดตั้งเรียงรายตลอดแนว ส่วนด้านขวาเป็นกำแพง สุดกำแพงเป็นทางสามแยก ด้านซ้ายเรื่อยไปจนสุดถนนจะมีแผงขายสินค้าตั้งเรียงรายทั้งสองฝั่งหลายร้อยแผง ลูกค้าค่อนข้างเยอะ เพราะเป็นแหล่งชุมชน จนอาจเรียกได้ว่าเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งใน กทม.ก็ว่าได้ ล่าสุดมีรายงานว่าผู้ดูแลตลาดส่งคนมาซ่อมเต็นท์และให้ผู้ค้ากลับมาขายได้เหมือนเดิม
ย้อนกลับไปเมื่อ4 ปีก่อน 26 มกราคม 2546
กลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยคนพร้อมรถแบ็คโฮและเครื่องมือได้เข้ารื้อถอนบุกทำลายร้านค้าและบาร์เบียร์ 135 ร้าน ภายในสุขุมวิทสแควร์ สุขุมวิทซอย 10 กทม. ราบเป็นหน้ากลอง ต่อมาตำรวจ สน.ลุมพินี สอบสวนดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสิ้น 131 คน ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้ปราศจากเสรีภาพ ในจำนวนนี้มีนักการเมืองชื่อดัง นายทหารคนดังหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง
พยานจำเลย 100 ปาก นานกว่า 3 ปีจึงแล้วเสร็จ พร้อมกับคำพิพากษายกฟ้องจำเลย 130 คน มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่ถูกตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี เป็นทนายความของผู้จ้างวาน เนื่องจากมีหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่าเป็นผู้นำใบอนุญาตที่แอบอ้างว่าเป็นใบอนุญาตรื้อถอนบาร์เบียร์มาแสดงต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ส่วนจำเลยรายอื่นๆ พยานโจทก์มีน้ำหนักไม่เพียงพอให้เชื่อได้ว่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการรื้อถอน
คราบน้ำตาไม่เคยเหือดหายไปจากผู้ค้าตราบใดที่ผลประโยชน์ในตลาดยังมีอยู่มากมายมหาศาล การแก่งแย่งช่วงชิงผลนั้นย่อมเกิดขึ้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็ว และตลาดไหนจะเป็นรายต่อไปแค่นั้น