รท.-นายสิบ-พลทหาร ขโมยจาก"ช.พัน.1 รอ." แฉทำมาแล้วถึง22ครั้ง คดีขนอาวุธพบปืนเพิ่ม ซุกแชสซีเรนจ์โรเวอร์
รวบแล้ว 12 ผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธสงครามส่งทางพัสดุภัณฑ์ เป็นทหาร 7 นาย ยศร้อยโทยัน พลทหาร พร้อมพลเรือนอีก 5 คน หลังศาลออกหมายจับ เผยลักลอบนำออกจากคลัง ช.พัน.1 รอ.นำไปส่งขายนานนับปีกว่า 20 ครั้ง โดยติดต่อซื้อขายผ่านเฟซบุ๊กและแอพพลิเคชั่นไลน์ บางส่วนซื้อเพราะเก็บไว้โชว์ บางส่วนนำไปทดแทนยอดในคลังอาวุธที่หายไป นอกจากนี้ ยังมีบางส่วนนำไปก่อเหตุด้วย เตรียมขยายผลจับกุมอย่างต่อเนื่อง รองผบ.ตร. ศรีวราห์รับมอบจากทหารวันนี้ที่กองปราบฯ ด้านกองทัพภาค 1 สั่งเล่นงานทางวินัย รวมทั้ง จะพิจารณาว่าเป็นความบกพร่องของผู้บังคับหน่วยด้วยหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีการจับกุมอาวุธสงคราม ที่ส่งผ่านพัสดุภัณฑ์ของบริษัทรับส่งพัสดุเอกชนนั้น เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้รับคดีไปดำเนินการสอบสวน ทราบว่าขณะนี้ฝ่ายทหารได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาซึ่งเป็นและพลเรือน จำนวนหนึ่งไว้ดำเนินคดี โดยผู้ต้องหารับสารภาพด้วยว่าอาวุธสงครามทั้งหมดขโมยมาจากคลังอาวุธของกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์แล้วนำส่งขายไปทั่วประเทศ นอกจาก การจับกุมผู้ต้องหาแล้วก็ยังบุกเข้าตรวจค้น เป้าหมายต้องสงสัย 2 แห่ง ที่จ.สมุทรสาคร และจ.จันทบุรีด้วย
พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย รองผบก.ป. เปิดเผยว่า การสอบสวนมีความคืบหน้าไปแล้ว กว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว ก็จะสามารถขออนุมัติศาลอาญาเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทั้ง 18 คน ระหว่างนี้ก็ได้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาไปแล้วในบางส่วน ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาจะมีทั้งที่เป็นผู้ขายและเป็นผู้ซื้อ แต่ละรายก็จะพบครอบครองอาวุธสงครามต่างชนิดกันไป มีทั้งกระสุนปืนสงคราม หรือระเบิด ซึ่งอยู่ระหว่างขยายผลการจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือเพิ่มเติมอีกด้วย ส่วนตัวผู้ต้องหาทั้งหมดขณะนี้อยู่ในการควบคุมตัวของทหาร หลังจากศาลอนุมัติหมายจับแล้วทางทหารก็จะนำตัวมาส่งให้กองปราบฯ ดำเนินคดีต่อไป
พ.ต.อ.สันติกล่าวต่ออีกว่า จากการสอบสวน ยังพบอีกด้วยว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้ลักลอบขโมยอาวุธสงครามออกมาจากคลังอาวุธ โดยเริ่มมาตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี และก่อเหตุมาแล้วทั้งหมด 8 ครั้ง สำหรับจุดประสงค์ในการครอบครองอาวุธสงครามของกลุ่มผู้ต้องหา ทราบว่าส่วนใหญ่มีเอาไว้เพื่อโชว์กันเองในกลุ่มที่มีรสนิยมคล้ายๆ กัน โดยการซื้อขายและการสื่อสารกันในกลุ่มใช้การติดต่อกันผ่านทางเฟซบุ๊ก และทางแอพพลิเคชั่นไลน์ โดยการครอบครองอาวุธ เหล่านี้ก็ไม่ได้มีเอาไว้เพื่อทำลายล้างฝ่ายใด ทั้งสิ้น
ที่ศาลทหาร ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลทหารได้อนุมัติหมายจับ 7 ผู้ต้องหา ข้อหาจำหน่ายวัตถุระเบิดและจัดซื้อวัตถุระเบิด มีอาวุธปืนและวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้โดยผิดกฎหมายตามที่พนักงาน สอบสวนยื่นคำร้อง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้ควบคุมตัวส.อ. ธนากรณ์ บุญกาญจน์ เจ้าหน้าที่คลังอาวุธ สังกัด ช.พัน 1 รอ.ไปสอบสวน และรับสารภาพถึงที่มาของอาวุธสงครามทั้งหมดได้ลักลอบนำมาจากหน่วยเพื่อจำหน่าย
โดยกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย(กกล.รส.) ได้นำตัวผู้เกี่ยวข้องและพบข้อมูลเชื่อมโยงทั้งหมด มาซักถามข้อมูลเบื้องต้นที่มณฑลทหารบก ที่ 11 (มทบ.11) รวม 20 ราย ประกอบด้วย ส่วนที่รับคำสั่งซื้อและหาสิ่งของเพื่อจัดส่ง เป็นทหาร 3 นาย และส่วนผู้ซื้ออาวุธสงครามจำนวน 17 ราย มีทั้งทหารและพลเรือน แต่เมื่อสอบแล้วพบว่ามีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง 6 รายจึงได้ปล่อยตัวกลับไป เหลือส่งให้พนักงานสอบสวนทั้งหมด 14 ราย เป็นทหาร 7 นาย ประกอบด้วยผู้ขาย 3 ราย และผู้ซื้อ 4 ราย
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยเพื่อดำเนินการลงโทษตามระเบียบ พร้อมทั้งพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับหน่วยว่ามีความบกพร่องหรือไม่ที่ปล่อยให้นำอาวุธภายในคลังออกมาจำหน่ายเป็นขบวนการ
ทั้งนี้ จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าทหาร กลุ่มนี้จำหน่ายอาวุธสงครามทางเว็บไซต์และใช้บริการส่งพัสดุของเอกชนในการส่งของมาเกือบ 1 ปี โดยขายมาแล้ว 22 ครั้ง จำนวนอาวุธกระสุนที่ส่งมากที่สุด 100 นัด ที่เหลือเป็นรายย่อย มีทั้งกลุ่มที่ชอบสะสมอาวุธ กลุ่มทหารที่สั่งซื้อไปเพื่อไปทดแทนอัตราอาวุธ ที่หายไปจากหน่วยที่ตนสังกัดในช่วงวงรอบการตรวจนับประจำปี และบางส่วนอาจเกี่ยวข้องกับการนำไปใช้ก่อเหตุในหลายพื้นที่ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ขณะที่พลเรือนจำนวน 5 ราย ล่าสุดศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่กองปราบปราม รายงานข่าวแจ้งว่าพล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. จะเดินทางมารับมอบตัวผู้ต้องหาคดีระเบิดที่ส่งทางบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์รวม 12 ราย หลัง เจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจตามมาตรา 44 คุมตัวไว้ได้ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 9 มิ.ย.
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 12 รายที่ถูกคุมตัวและจะถูกนำตัวมาส่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามประกอบไปด้วย ร.ท.สันติ นามวิเศษ จ.ส.อ.ประดิพัทธ์ เสน่ห์ดี จ.ส.อ.ฉัตรชัย เอี่ยมสมบูรณ์ จ.ส.อ.พล หงส์ศาสตร์ ส.อ. สุทธิโชค ไพเราะ ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์ พลทหารสกลนที พรหมทอง นายเกษมสุข นามศรี นายสิทธิชัย ทองเชื้อ นายณัฐพล อยู่ยืด นายณัฐพงศ์ ทองคำพันธุ์ และนายศักดิ์สิทธิ์ จันทาป
เบื้องต้นศาลทหารได้พิเคราะห์เห็นควรออกหมายจับผู้ต้องหาตามคำร้องของทางพนักงานสอบสวน โดยศาลทหารได้ออกหมายจับจ.ส.อ.ฉัตรชัย เอี่ยมสมบูรณ์ ในฐานความผิดตามมาตรา 147 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของ ผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท, ความผิดตามมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานครอบครองอาวุธสงคราม
ในส่วนของจ.ส.อ.ประดิพัทธ์ เสน่ห์ดี และจ.ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์ นั้น ศาลทหารได้ออกหมายจับในฐานความผิดสนับสนุนตาม ม.147 และ 157 รวมทั้งในฐานความผิดร่วมกันครอบครองและจำหน่ายอาวุธสงคราม ในส่วนของผู้ต้องหาที่เหลือนั้นเบื้องต้นศาลได้ออกหมายจับในฐานความผิดซื้อและครอบครองอาวุธสงคราม
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่สำนักวิเทศสัมพันธ์ กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกหนังสือถึงสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารไทยประจำกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เรียกร้องให้สื่อมวลชนไทยบางสำนักแสดงความรับผิดชอบและขอโทษหลังนำเสนอข่าวพาดพิงพล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมของกัมพูชากรณีขนและ ค้าอาวุธว่า ตนได้โทรศัพท์พูดคุยกับพล.อ.เตีย บันห์ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีความเข้าใจดีต่อกัน ทางพล.อ.เตีย บันห์ ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เพียงแต่อยากให้แสดงความรับผิดชอบและขอโทษอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชา
จึงอยากขอให้สื่อไทยระมัดระวังการนำเสนอข่าวที่พาดพิงถึงบุคคลระดับสูงของกัมพูชาหากยังไม่ได้มีการพิสูจน์หรือสอบสวนอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด และผู้บริหารประเทศทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอดเช่นกัน
"เขาฝากเตือนมายังสื่อมวลชนไทยว่า การนำ เสนอข่าวใดหากเกี่ยวกับผู้นำระดับสูงของต่างประเทศ หรือประเทศเพื่อนบ้านต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริง และมีข้อมูลหลักฐานที่แน่ชัด ต้องระมัดระวัง อย่ารีบร้อนดำเนินการ เพราะอาจเกิดความเสียหายและจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งทุกเรื่องควรรอการสอบ สวนให้ได้ข้อเท็จจริงเสียก่อน" พล.อ.ประวิตรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี พ.อ.อ. อ้าง กอ.รมน.ขนและค้าอาวุธสงครามจากชายแดนประเทศกัมพูชาส่งไปขายชนกลุ่มน้อยชายแดนไทย-พม่า ว่าพนักงานสอบสวน สภ.ท่าเลื่อน ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ร่วมกัน ตรวจค้นรถเรนจ์ โรเวอร์ ทะเบียนพนมเปญ ของร.ต.ท.เรียง พิเสิด พบปืนพกยี่ห้อกล็อก จำนวน 3 กระบอก และปืนกลมืออีก 1 กระบอก ซุกซ่อนอยู่ใกล้กับแชสซี ด้านข้างช่องว่างบริเวณแบตเตอรี่รถยนต์ โดยถูกเก็บไว้ในกล่องที่ทำขึ้นเพื่อเก็บอาวุธปืน ซึ่งปืนพกขนาด 9 ม.ม. ยี่ห้อกล็อก 3 กระบอกเป็นปืนมีทะเบียน ถูกต้อง คือ กท 5029472 กท 60303880 กท 60303822 ส่วนปืนกลมือนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นของใคร จึงได้เก็บปืนทั้งหมดไว้เป็น หลักฐานเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป
ส่วนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตราด พ.ต.อ.ดเรศ กัลยา รอง ผบก.ตราด ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้รายงานถึงความก้าวหน้าของการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 3 คน แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจาก ผู้ต้องหาชาวกัมพูชาที่ยังปฏิเสธไม่เกี่ยวข้อง กับพ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์
อย่างไรก็ตาม ในการสอบสวนเชิงลึกตำรวจได้ทำหนังสือส่งไปยังส่วนราชการของกัมพูชาเพื่อขอประวัติของร.ต.ท.เรียง พิเสิด ว่าดำรงตำแหน่ง สังกัด และเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวหรือไม่ โดย เฉพาะรถเรนจ์ โรเวอร์ ที่เดินทางผ่านเข้ามาเป็นของใครที่เป็นเจ้าของตัวจริงตามทะเบียนที่ปรากฏ โดยวันเดียวกันนี้ได้มอบหมายให้ชุด สืบสวนลงพื้นที่แกะรอยเส้นทางทั้งหมดของรถยนต์ทั้ง 2 คัน สอบปากคำพยานบุคคลที่ ผู้ต้องหาอ้างถึงว่าเชื่อมโยงกันหรือไม่
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ตามปกติการเข้าออกตามจุดผ่านแดนถาวรจะแบ่งความรับ ผิดชอบกันระหว่างตรวจคนเข้าเมืองซึ่งจะดูแลเรื่องคนเข้า-ออก ส่วนศุลกากรจะดูแลเรื่องรถยนต์และสิ่งของเข้า-ออก ซึ่งจะต้องมีเอกสารในการขออนุญาต ซึ่งในส่วนของศุลกากรรถยนต์คันใดที่เดินทางเข้า-ออก จะต้องแสดงเอกสารและหลักฐานการเป็นเจ้าของ จึงจะสามารถเข้า-ออกได้ และต้องปฏิบัติตามระเบียบให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีของบุคคลวีไอพีของฝั่งกัมพูชาก็จะต้องทำเอกสารเช่นกัน แต่อาจจะได้สิทธิ์ไม่ต้องตรวจค้นภายในรถเพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งรถยนต์คันที่ก่อเหตุก็เดินทางเข้ามาในจังหวัดตราด และได้ทำเอกสารเข้า-ออกเช่นกัน ที่เป็นชื่อของภรรยา ร.ต.ท.เรียง พิเสด เป็นเจ้าของ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขออำนาจศาลฝากขัง ที่เรือนจำจังหวัดตราดแล้ว โดยพนักงานสอบ สวนยังคัดค้านการประกันผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย