เจอบ้านกลางทุ่งนา จุดประกอบคาร์บอมบ์บึ้มบิ๊กซีปัตตานี ตร.คุมหัวหน้าแก๊งคาร์บอมบ์ทำแผนชี้จุดประกอบระเบิดเจอ 4 วัยรุ่นในบ้านพัก คุมตัวเข้าค่ายทหารสอบสวน ยอมรับวันเกิดเหตุมีปิกอัพเข้ามาจอดจริง แต่ไม่รู้ว่าทำอะไร เผยผลสอบรู้ตัว ผู้ก่อเหตุแล้ว 15 คน ด้านแม่ทัพภาค 4 ยันเดินหน้าโครงการพาคนกลับบ้านต่อไป แต่ต้องพิจารณาให้ดี ด้านพล.อ.อักษรา หัวหน้าทีมพูดคุยยันต้องเจรจาสันติสุขต่อเนื่องแม้เกิดเหตุรุนแรง เผยชี้แจงนายกฯ รับทราบแล้ว ด้านบิ๊กโด่งเตรียมบินลงใต้ 15 พ.ค.นี้
วันที่ 13 พ.ค. ที่ห้องประชุมบก.ภ.จว.ปัตตานี พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทั้งรองผวจ. ผบ.ฉก.ปัตตานี ผบก.ภ.จว.ปัตตานี เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ชุดสืบสวนสอบสวน จ.ปัตตานี และชุดพิสูจน์หลักฐาน เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่ห้างบิ๊กซี จ.ปัตตานี ว่า หลังจากที่ได้รับฟังผลทางคดีจากเจ้าหน้าที่ทราบว่าการขยายผลเพิ่มเติม ปรากฏว่าขณะนี้รู้ตัวผู้ที่ร่วมก่อเหตุ 15 คน และพิสูจน์ทราบแล้ว 12 คน
ทางตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อจะออกหมายจับไม่เกิน 4-5 วัน ขอชี้แจงว่าคดีคืบหน้าไปมาก ซึ่งจากการสอบสวนขยายผลจากผู้ต้องสงสัย จนเรารู้ถึงการวางแผนการก่อเหตุ เส้นทางการนำรถไปก่อเหตุจากจุดที่ประกอบระเบิดไปจนถึงห้าง บิ๊กซี หลังจากนำรถคาร์บอมบ์ไปจอดแล้ว คนร้ายใช้เส้นทางไหนหลบหนีและที่หลบซ่อนตัว จนนำไปสู่การทราบชื่อบุคคลที่ร่วมก่อเหตุ
หลังจากนี้ไปก็เป็นงานของตำรวจ ว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนทหารก็จะสอบสวนผู้ต้องสงสัยที่ถูกคุมตัวต่อไป เพราะเชื่อว่ายังมีข้อมูลอีกมากที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อเจ้าหน้าที่ ส่วนคนร้ายทั้ง 4 คนที่ขับรถคาร์บอมบ์ ออกหมายจับแล้ว 1 ราย ส่วนอีก 3 รายรู้ตัวหมดแล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มเก่าที่มีหมายจับคดี
ส่วนกรณีผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวและเคยเข้าสู้โครงการพาคนกลับบ้าน ยอมรับว่ามี ซึ่งต่อไปจะต้องมีการกำกับดูแลให้มากกว่านี้ และเจ้าหน้าที่ต้องเพ่งเล็งให้ดี โดยเฉพาะคุณสมบัติ และติดตามพฤติกรรมอย่างเข้มงวด แต่โครงการพาคนกลับบ้านยังคงมีต่อไป
เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบก.ภ.จว.ปัตตานี พ.อ.หาญพล เพชรม่วง ผบ.ฉก.ทหารพรานที่ 43 นำกำลังกว่า 50 นาย เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านร้าง ไม่มีเลขที่ กลางทุ่งนา พื้นที่ ม.1 ต.ดอนรัก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี หลังรับข้อมูลจาก คำรับสารภาพของผู้ต้องสงสัย 1 ใน 2 คนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์ซักถามค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นจุดที่นำรถกระบะของ นายนุสน ขจรคำ ที่ถูกฆ่าเสียชีวิตไปประกอบระเบิดแสวงเครื่อง ก่อนจะนำไปก่อเหตุที่ห้างบิ๊กซี เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา
โดยเจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจค้น พบกลุ่มวัยรุ่น 4 คนอยู่ภายในบ้าน จึงแยกสอบสวน ปรากฏว่า 1 ใน 4 ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ให้การว่า วันเกิดเหตุไม่อยู่บ้าน แต่รู้ว่ามีรถกระบะเข้ามาจอดโดยไม่รู้ว่าทำอะไร เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชิญตัวทั้ง 4 คนเข้าสู่กระบวนการซักถามเพื่อขยายผลว่ารู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ และจากการตรวจสอบภายในบ้านพบรถ จยย. 1 คัน จึงตรวจสอบว่าเคยนำไปก่อเหตุหรือไม่ ส่วนภายในบ้านในห้องนอนพบเบาะที่นอน อุปกรณ์ หุงต้ม กระเป๋าเสื้อผ้า ซึ่งเจ้าหน้าที่เก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเก็บดีเอ็นเอเข้าสู่กระบวนการทางนิติวิทยาศาตร์หาความเชื่อมโยงกับข้อมูลในคดีระเบิดคาร์บอมบ์หรือไม่
จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัว 1 ในผู้ต้องสงสัยที่รับสารภาพว่าเป็นผู้วางแผนและสั่งการมาชี้จุดที่บ้านหลังดังกล่าวว่าเป็นสถานที่นำรถกระบะที่ปล้นมาประกอบระเบิดแสวงเครื่องก่อนจะส่งมอบให้คนร้ายทั้ง 4 คนที่ปรากฏในภาพวงจรปิดไปก่อเหตุที่ห้างบิ๊กซี ซึ่งการนำตัวมาชี้จุดครั้งนี้ เพื่อเป็นหลักฐานในการขออนุมัติออกหมายจับต่อไป
พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เปิดเผยว่าผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว ให้การที่เป็นประโยชน์และสารภาพจุดที่วางแผนก่อนเกิดเหตุ จึงนำตัวมาชี้จุดที่นำรถมาประกอบระเบิดและไปก่อเหตุที่ห้างบิ๊กซี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รับการยืนยันกับผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายจุดที่ ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายผล
ด้านพ.อ.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. เปิดเผยว่า ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียงได้ตระหนักถึงการ กระทำที่ถูกต้อง การเป็นพลเมืองดีที่ไม่หลงผิดหรือหลงเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง ข่าวที่ไม่มีแหล่งที่มา หรือข่าวลือต่างๆ ในโซเชี่ยลออนไลน์ หากสงสัย ประชาชนสามารถตรวจสอบข่าวสารได้ที่โทรศัพท์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. หมายเลข 1341 หรือหน่วยงานราชการในพื้นที่ของตน
พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า สังคมต้องแยกให้ออกจากกันระหว่างการพูดคุยกับเหตุความรุนแรงในพื้นที่ เนื่องจากทุกครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงสังคมมักจะกล่าวโทษว่าสาเหตุมาจากการทำงานของคณะพูดคุย ทั้งที่การพูดคุยมีความคืบหน้า ที่ผ่านมาได้พบปะกับ 521 เครือข่ายและแกนนำ 6 ขบวนการในพื้นที่หาทางออกในการสร้างความปลอดภัย
หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ กล่าวว่า เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยมีหลายกลุ่มงานที่รับผิดชอบโดยตรง ดังนั้นไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรการพูดคุยยังเดินหน้าต่อเนื่อง รวมถึงการกำหนดพื้นที่ปลอดภัยใน 5 อำเภอ 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ จะไม่มีการยกเลิก เพราะการพูดคุยเป็นนโยบายของฝ่ายความมั่นคงที่จะสร้างสันติสุขในพื้นที่โดยใช้วิธีการสันติ ปราศจากความรุนแรง และทั่วโลกยอมรับกับวิธีการนี้ ส่วนกลุ่มที่ต่อรองใช้ความรุนแรงก็จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะเชิญนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มาพูดคุยเกี่ยวกับการวางแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ปลอดภัย
"ยืนยันว่าเรายินดีพูดคุยกับทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายที่เห็นด้วยกับแนวทางสันติวิธี และการพูดคุยจะมีต่อ ไม่ใช่พอเกิดเหตุทีก็มีพวกวิจารณ์ที่ไม่รู้จริงและไม่ได้อยู่ในพื้นที่ออกมาวิเคราะห์พูดเป็นฉากๆ อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้รู้จริง อยากให้เข้าใจการทำงานด้วย อย่ามาโทษกัน พวกที่ใช้ความรุนแรงก่อเหตุ ไม่ได้ทำให้เราเสียมวลชน เพราะคนใช้ความรุนแรงเป็นพวกสุดโต่งคุยไม่รู้เรื่อง แต่เราพยายามสร้างมวลชนแนวร่วมให้ออกมากดดันกลุ่มคนเหล่านี้ ยิ่งเราทำงานได้มาก ต่อไปตัวละครต่างๆ ที่เป็นกลุ่มใช้ความรุนแรงจะออกมามาก ชื่อจะเปิดมากขึ้นเรื่อยๆ สังคมจะกดดันคนเหล่านี้เอง เพราะเขาไม่ต้องการความรุนแรง ดังนั้นการพูดคุยใครจะมาใช้ความรุนแรงข่มขู่ กดดัน ต่อรองไม่เกิดประโยชน์ ในทางกลับกันกลุ่มคนเหล่านี้ต้องถูกดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด ไม่มีละเว้น ซึ่งวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา ผมได้อธิบายการทำงานและความคืบหน้าในการพูดคุยให้ นายกฯ ได้รับทราบแล้ว" พล.อ.อักษรากล่าว
พ.ต.อ.จำลอง สุวลักษณ์ ผกก.สภ.เมืองยะลา เปิดเผยว่าหลังจากเกิดเหตุที่ปัตตานี สภ.เมืองยะลา สั่งการให้กำลังทุกชุดที่รับผิดชอบเขตเมือง ทั้งสายตรวจรถ จยย.ชุดสายฟ้า ชุดสายตรวจเดินเท้า สายตรวจรถยนต์และกองกำลังภาคประชาชน(ทส.ปช.) เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจตรา ตรวจสอบการจอดรถวัตถุต้องสงสัย ในย่านการค้า ย่านชุมชน เป็นกรณีพิเศษ โดยเฉพาะศูนย์การค้าโคลีเซี่ยม ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดของยะลา พร้อมกับประสานการปฏิบัติร่วม เจ้าหน้าที่รปภ.ของห้าง ให้เพิ่มความเข้มข้นความรอบคอบ การเฝ้าระวังสังเกตให้มากกว่าเก่า เกรงว่ายะลาอาจเป็นเป้าการก่อเหตุร้ายเป็นพื้นที่ต่อไปของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ก็เป็นได้
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า จากเหตุการณ์คาร์บอมบ์ ที่บิ๊กซี จ.ปัตตานี คนร้ายมุ่งหวังให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความหวาดกลัว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทำงานอย่างเต็มที่ แต่ยังมีช่องว่างอยู่บ้าง จึงทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ยืนยันว่าหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้ละเลยหน้าที่ โดยหลังจากนี้จะมีการวางมาตรการที่แน่นหนามากยิ่งขึ้น และทุกหน่วยงานจะมีการบูรณาการร่วมกันแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด รวมถึงขอความร่วมมือประชาชนเป็นหูเป็นตาป้องกันสิ่งผิดปกติด้วย
พล.อ.อุดมเดชกล่าวถึงโครงการพาคนกลับบ้านว่า กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้ามีการคัดกรองบุคคลอยู่แล้วและมีการป้องกันผู้ก่อเหตุร่วมโครงการเพื่อการหลบหนีอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จะประชุมครม.ส่วนหน้า เพื่อหารือถึงแนวทางการปฏิบัติงานให้ดูแลบุคคลที่จะร่วมโครงการให้เกิดความชัดเจนในวันที่ 17 พ.ค. และตนจะลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเยียวยาให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ในวันที่ 15 พ.ค.นี้