เมื่อเวลา 13.00 น วันที่ 2 พ.ค. ที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส) กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา เจ้าหน้าที่ตำรวจสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมกันแถลงข่าวพาคนหายจากบ้านไปนานกว่า 15 ปีกลับคืนสู่ครอบครัว พร้อมด้วยนายบุญธรรม พลายลมูน อายุ 54 ปี พ่อของนาย อั้มที่ติดตามหาลูก
นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีคนแจ้งเข้ามาผ่านกล่องข้อความในเฟซบุ๊คแฟนเพจ "ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา" ว่าต้องการตามหาครอบครัวของตน เนื่องจากตนหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก จำชื่อนามสกุลจริงของตัวเองและคนในครอบครัวไม่ได้ จำได้เพียงชื่อเล่นของตนเองว่าอั้ม มีพ่อชื่อบุญธรรม และแม่ชื่อแมว บ้านอยู่ชุมชนริมทางรถไฟไม่ทราบชื่อ มีคลองหรือแม่น้ำใกล้ๆ และมีตลาดอยู่หลังชุมชน
หลังได้รับข้อมูลจึงได้ลงพื้นที่ไปพูดคุยรายละเอียดกับนายอั้มที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากนายอั้มทำงานรับจ้างอยู่ที่นั่น หลังจากปะติดปะต่อข้อมูลที่ได้มา จึงประสานงานไปยังตำรวจกองบังคับการตำรวจรถไฟ เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์สภาพชุมชนริมทางรถไฟ กระทั่งช่วงหลังสงกรานต์ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาได้ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟ บริเวณชุมชนยมราช แต่ไม่มีใครรู้จักนายอั้มและครอบครัว จึงได้ประกาศข้อมูลประชาสัมพันธ์ผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจอีกรอบ กระทั่งมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแสว่าจากข้อมูลน่าจะเป็นชุมชนริมทางรถไฟย่านตลาดศรีเขมา เขตบางซื่อ จึงได้ประสานงานมายังตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กระทั่งติดตามจนพบครอบครัวนายอั้มในที่สุด
นายเอกลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีครอบครัวเด็กหายอีกหลายครอบครัวที่บุตรหลานหายออกจากบ้านนานนับสิบปี ตนเองหวังว่าเด็กเหล่านั้นจะปลอดภัยและเติบโตมาจนมีโอกาสที่จะหาทางติดต่อกลับมาหาครอบครัว นี่เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจสำคัญที่ครอบครัวที่บุตรหลานสูญหายยังมีความหวังในการได้ลูกกลับคืนมาสู่ครอบครัว
ขณะที่ พ.ต.ท.ปฏิศาสตร์ ศรีมณฑา กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี(ดส) กล่าวว่า มูลนิธิกระจกเงาได้ประสานตำรวจดส.ว่ามีชายอายุประมาณ 25 ปีประสงค์ตามหาครอบครัวที่แท้จริง เนื่องจากหนีออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก โดยมีข้อมูลที่จดจำได้เพียงบางส่วนเกี่ยวกับชุมชนที่เคยอาศัยอยู่ ตำรวจ ดส.จึงร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ลงพื้นที่ชุมชนย่านตลาดศรีเขมา เขตบางซื่อ กรุงเทพ ตระเวนเดินเท้าหาข่าวในชุมชนกระทั่งพบเบาะแสญาติของชายคนดังกล่าว จนสามารถติดตามหาบิดาจนพบ
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้พานายอั้มมาหานายบุญธรรม (พ่อ) หลังจากไม่เจอกันนานกว่า 15 ปี ทันทีที่นายอั้มเจอพ่อ ได้โผล่เข้ากอดพร้อมร่ำไห้ ว่า ตนหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก จำความไม่ได้มากนัก มีเพื่อนชักชวนให้นั่งรถเมล์เล่น จึงออกมากับเพื่อนแล้วใช้ชีวิตขอทานอยู่ที่สนามหลวงและตรอกข้าวสาร ตกค่ำก็หาที่นอนใต้แผง คนขาย CD กระทั่งเริ่มโตขอทานไม่ได้ จึงอาศัยเก็บของเก่าขายและอาศัยข้าววัดกิน
"เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เพื่อนชวนไปทำงานที่เขาเต่า อ.หัวหิน ได้นั่งรถไฟฟรีไปลงที่หัวหิน และเริ่มทำงานรับจ้างรายวันที่เขาเต่า เป็นเด็กยกของขึ้นรถบรรทุก และมีอยู่วันหนึ่งเห็นเพื่อนที่ทำงานกลับบ้านไปหาครอบครัว ผมจึงเริ่มคิดถึงครอบครัวและอยากตามหา เพื่อกลับไปอยู่กับครอบครัว และเคยไปแจ้งความกับตำรวจ แต่ทางตำรวจหาว่าผมกุเรื่องขึ้นมาเพราะผมไม่มีเอกสารอะไรเลย"นายอั้มกล่าว
นายอั้มเล่าว่า ตนไม่ได้เรียนหนังสือจึงอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อาศัยว่าตอนออกมาเร่ร่อนได้เล่นเกมออนไลน์ จึงใช้คอมพิวเตอร์เป็น ตนเริ่มตามหาครอบครัวจากการใช้โปรแกรม Google โดยพูดใส่โปรแกรมด้วยเสียงให้แปลเป็นตัวอักษรเพื่อค้นหา โดยตนพูดชื่อตัวเองและคำว่า "เด็กหาย" เพื่อหวังว่าจะพบประกาศตามหาตัวเองในอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่า Google แสดงผลหน้าเฟซบุ๊คแฟนเพจศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงาขึ้นมา ตนเห็นว่าเพจนี้มีคนติดตามมากกว่าสี่แสนคน คิดว่าน่าเชื่อถือ จึงส่งข้อความมายังเพจโดยการพูดใส่ google และคัดลอกตัวอักษรที่โปรแกรมแปลเป็นอักษร จึงสื่อสารกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาจนเข้าใจ
นายอั้มกล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาโทรไปหาตนว่า ตามหาครอบครัวของตนพบแล้วนั้น ตนตื่นเต้นดีใจมาก รีบไปขอลางานเพื่อขึ้นมากรุงเทพฯ ตนดีใจที่ได้พบพ่ออีกครั้ง และขอโทษสำหรับการหนีออกจากบ้านในวัยเด็ก ทั้งนี้ ขอขอบคุณประชาชนทุกท่านที่ช่วยกันแชร์ข้อมูลของตน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ที่ทำให้ตนได้พบกับครอบครัวอีกครั้ง
ด้านนายบุญธรรม พลายลมูน อายุ 54 ปี ปัจจุบันเดินไม่ค่อย เนื่องจากไม่สบาย เปิดเผย เมื่อ 15 ปีก่อน ลูกชายของตนหายออกจากบ้านไป พยายามติดตามหา แต่ไม่พบตัว ประกอบกับตอนนั้นตนมีอาชีพขับรถประจำทางเลี้ยงครอบครัว จึงตามหาเท่าที่พอทำได้ ทุกวันนี้ป่วยเป็นเบาหวานและขาแขนอ่อนแรง ดีใจมากที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ และพร้อมรับลูกกลับมาอยู่ด้วยกันในครอบครัว สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันพาลูกชายของตนกลับมาหาตนอีกครั้ง
พ.ต.อ.วาที อัศวุต หัวหน้ากลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืน สถาบันนิติเวชวิทยา สถาบันนิติเวชวิทยา กล่าวว่า สถาบันนิติเวชวิทยา ได้รับการส่งตัวอย่างสารพันธุกรรมของนายอั้มและนายบุญธรรมจากมูลนิธิกระจกเงา ตรวจเปรียบเทียบแล้วตรงกัน จึงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด โดยสถาบันนิติเวชวิทยามีโครงการชื่อดีเอ็นเอโปรคิดส์ เป็นโครงการระหว่างประเทศเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ ด้วยการเก็บสารพันธุกรรมของพ่อ แม่ ที่ลูกหาย ไว้ในระบบฐานข้อมูล จากนั้นเมื่อมีการพบเด็กที่ไม่ทราบตัวบุคคลชัดเจน สงสัยว่าถูกลักพาหรือล่อลวงไป จะทำการตรวจสารพันธุกรรมของเด็ก เพื่อเปรียบเทียบกัน ซึ่งอยากเชิญชวนให้ผู้ปกครองที่บุตรหลานสูญหายได้มาเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมไว้ ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ โดยโครงการกล่าวไม่เสียค่าใช้จ่าย