ชาวบ้านคนเดิมยังระบุว่า นอกจากนั้นยังได้มีการปล่อยข่าวลือกันต่อๆกันว่าได้ยินมาว่า น้ำในบ่อ เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคต่างๆ เคยมีคนตาบอดมาล้างหน้าแล้วหายจากอาการบอด ไม่ใช่แค่เคสนี้เคสเดียว ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาเล่าต่อๆจนกลายเป็นความเชื่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และตอนนี้ก็มีผู้คนจากทั่วสารทิศแห่กันมาตักน้ำในบ่อ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่เกิดจากความเชื่อจากข่าวลือไม่มีสิ้นสุด
ล่าสุดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนราธิวาสได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเก็บตัวอย่างน้ำในบ่อดังกล่าวมาตรวจสอบแล้ว โดยนพ.สมหมาย บุญเกลี้ยง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส สั่งการให้ทีมสาธารณสุขอำเภอศรีสาคร และผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีสาคร ลงพื้นที่ไปตรวจสอบพร้อมเก็บน้ำมาทำการตรวจสอบในขั้นต้น เพื่อตรวจสอบเชื้อโรคต่างๆ ที่อยู่ในน้ำที่มีสีดำ พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์การดื่มน้ำที่สะอาดให้ประชาชนได้รับทราบ
จากการตรวจสอบสภาพน้ำเบื้องต้นพบว่า น้ำในบ่อที่เป็นสีดำ เกิดจากตะกอนซากต่างๆ ในพื้นที่โดยรอบ โดยบ่อดังกล่าวสอบถามแล้วเกิดขึ้นมานานกว่า 30 ปีมาแล้ว แต่ยังคงมีตาน้ำผุดตลอดเวลา ทำให้น้ำในบ่อไม่แห้ง และเมื่อมีกระแสข่าวเกี่ยวกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้น จึงมีประชาชนมาตักน้ำเพื่อไปรับประทานจำนวนมาก
ส่วนการตรวจสอบหาเชื้อโรคในน้ำพบเบื้องต้นมีเชื้อโรคที่มาจากอุจจาระปะปนอยู่ ซึ่งหากใครรับประทานไปอาจจะทำให้ท้องเสีย หรือท้องร่วงได้ โดยในวันที่ 21 เม.ย. ตนและคณะเจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจสอบ พร้อมร่วมพูดคุยกับกลุ่มผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ห้ามหากประชาชนยังคงมีความเชื่อความศรัทธา แต่ขอแนะนำการดื่มน้ำที่ผ่านกรรมวิธีที่ถูกต้อง รวมถึงขอทำความสะอาดรอบๆ บ่อ โดยเฉพาะการตรวจแหล่งที่มีของเชื้ออุจจาระเพื่อป้องกันไม่ให้ไหลเข้ามาในบ่อน้ำดังกล่าว
ในการตรวจเบื้องต้นพบเพียงเชื้อโรคจากอุจจาระเพียงเท่านั้น หากสามารถทำความสะอาดโดยรอบ และไม่พบเชื้อโรคอื่นๆ เพิ่มเติมแล้ว น้ำในบ่อก็จะสามารถรับประทานได้ แต่ก็อยากแนะนำให้รับประทานแบบถูกสุขลักษณะเพื่อสุขภาพของตนเอง