น.ส.ลักษณ์ เล่าว่า น้องสาวอยู่กินกับนายเอกมาประมาณ 10 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน อายุ 10 ขวบ กับ 7 ขวบ ต่อมาช่วง 2 ปีหลัง น้องสาวรู้ว่าฝ่ายชายไปมีหญิงใหม่ มีลูกด้วยกันจึงได้ขอแยกทาง แต่ที่ผ่านน้องสาวก็ยังอยู่อาศัยอยู่ที่บ้านของสท. ซึ่งมีพ่อกับแม่ฝ่ายชายอยู่ด้วย เพราะเห็นแก่ลูก ต่างคนก็ทำหน้าที่พ่อและแม่กันเท่านั้น ต่อมาน้องสาวได้คบหากับน.ส.บี ซึ่งมีบุคลิกคล้ายผู้ชาย ในฐานะเพื่อนสนิท ทำให้นายเอกหึงหวงกระทั่งมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่น้องสาวของตนก็ไม่เคยแจ้งความ โดยนายเอกยังคอยเฝ้าติดตามไปทุกแห่งไม่ว่าจะไปทำงานหรือไปไหน
"กระทั่งเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา น้องสาวตัดสินใจที่จะย้ายออกจากบ้านฝ่ายชายเพื่อกลับไปอยู่กับพ่อแม่ ที่ต่างจังหวัด โดยออกไปกับน.ส.บี แวะนำกุญแจคืนให้เจ้าของปั๊มน้ำมันที่ทำงานอยู่ ระหว่างขับรถออกมานายเอกขับรถกระบะมาประกบและปาดหน้า ก่อนเดินลงจากรถมาทำร้ายชกต่อย น.ส.บี ที่เป็นคนขับ จนได้รับบาดเจ็บ ส่วนลูกน้องของนายเอกนั่งมาด้วยได้เดินมาฉุดน้องสาวลงจากรถและบังคับข่มขู่ให้ไปขึ้นรถของนายเอกก่อนจะพากันขับหลบหนีไป ล่าสุดเช้า วันที่8 เมษายน น้องสาวได้แอบโทรศัพท์ติดต่อมาบอกว่าถูกนายเอกใช้เชือกมัดมือจับไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง ใน จ.เพชรบุรี ให้นั่งตากฝนไม่ยอมให้กินข้าวและอยากกลับบ้านก่อนจะวางสายไป ทั้งนี้ทางครอบครัวเกรงว่าน้องสาวจะได้รับอันตราย จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิปวีณาฯ"น.ส.ลักษณ์ กล่าว
ต่อมา นางปวีณา ได้ประสานงานไปยัง พล.ต ต.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ขอให้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกติดตามตัวนายเอก และนางสาวรุ้ง กลับมาโดยเร็ว และในเวลา 16.00 น. นางปวีณา จะพาญาติของนางสาวรุ้ง ไปพบพล.ต.ต.สุทธิพงษ์ ที่ตำรวจภูธรภาค 7
นางปวีณา กล่าวว่า เชื่อว่าทาง สท.เอกคงจะโมโหจนเกิดอารมณ์ชั่ววูบตัดสินใจทำลงไปอย่างนั้น แต่ก็ คงไม่ทำอะไรที่เกินกว่าเหตุแน่ อยากให้ สท.เอก ใจเย็นๆ นำตัวนางสาวรุ้งมาส่งแล้วค่อยเจรจาตกลงกันดีๆ ขอให้เห็นแก่ลูกทั้ง 2 คนด้วย