แล้วทุกคนในครอบครัวก็ต้องเศร้าเสียใจ
กับการจากไปของน.ส.ผ่องพรรณ ไชยยา หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุลื่นล้มแล้วถูกรถทัวร์ศีรษะจนเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
คร่าชีวิตน.ส.ผ่องพรรณไปจากคนรักอย่างไม่มีวันกลับ
การตายของน.ส.ผ่องพรรณ สร้างความอาลัยรักให้กับทุกคนยิ่งนัก โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างหลังอย่างนายประสิทธิ์ สูงล้น กับลูกสาววัยน่ารัก ที่ต้องใช้ชีวิตกันตามลำพัง ขาดคนเป็นแม่ที่ยึดอาชีพขับรถสองแถวหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัวซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญ
ขาดน.ส.ผ่องพรรณก็ไม่ต่างจากขาดเสาหลัก!!
อุบัติเหตุที่เกิดกับน.ส.ผ่องพรรณ ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากอุบัติเหตุทั่วไป หากแต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นถึงในสถานีขนส่งบ.ข.ส.ระยอง ซึ่งถือเป็นสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนไปใช้บริการจำนวนมาก
สะท้อนปัญหาความไม่ปลอดภัยของชีวิตผู้ใช้บริการ!??
ย้อนกลับไปวันเกิดเหตุ ตอนสายวันที่ 17 สิงหาคม ร.ต.ท.วิรัตน์ เตชะนันท์ พงส.สภ.อ.เมืองระยอง รับแจ้งมีเหตุรถชนคนเสียชีวิตที่สถานีขนส่งบ.ข.ส.ระยอง จึงเดินทางไปที่เกิดเหตุพร้อมมูลนิธิสว่างพรกุศลระยอง เมื่อไปถึงพบรถทัวร์ของบริษัท ส.เอกชัย 57 สีฟ้าขาว เลขทะเบียน 10-2090 ฉะเชิงเทรา หมายเลขข้างรถ ป.2-9906-1 มีผู้โดยสารนั่งเต็มคัน จอดคาอยู่ ใต้ท้องรถล้อด้านซ้ายพบศพน.ส.ผ่องพรรณ อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 16 อ.เมือง จ.ระยอง นอนเสียชีวิตในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพู กางเกงยีนส์สามส่วน สวมรองเท้าหนังเปิดส้นแบบผู้หญิง ถูกล้อรถทัวร์คันดังกล่าวทับเป็นที่น่าสยดสยองแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
อุบัติเหตุ-อุบัติโหด รถทัวร์ทับสยอง กลางสถานีบ.ข.ส.
พยานที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า
ก่อนเกิดเหตุรถทัวร์คันดังกล่าวเตรียมจะเดินทางออกจากสถานีบ.ข.ส.ระยอง ปลายทางสถานีขนส่งหมอชิต กทม. ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากที่จอดนั่นเอง น.ส.ผ่องพรรณได้เดินข้ามถนนบริเวณด้านหน้ารถ แล้วเกิดเสียหลักสะดุดตะแกรงเหล็กหกล้ม เธอจึงรีบก้มลงไปเก็บของ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่รถทัวร์เคลื่อนตัวออกพอดีเลยทับผู้ตายเข้าที่ศีรษะเสียชีวิตคาที่ ท่ามกลางสายตาผู้คนที่ยืนดูอยู่จำนวนมากต่างพากันหวีดร้องด้วยความตกใจเสียงหลง
ทุกคนเศร้าใจที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นในสถานที่สำคัญอย่างสถานีขนส่ง!!
หลังเกิดเหตุไม่นานนายประสิทธิ์ สามีผู้ตาย มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 7/4 หมู่ 2 บ้านแหลมมะขาม ต.ทับมา อ.เมือง จ.ระยอง รีบเดินทางมาดูศพภรรยาด้วยความเศร้าใจ ละล่ำละลัก บอกทำใจไม่ได้ที่มาเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับครอบครัวแบบนี้ หลังจากนั้นจึงมอบหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธินำศพไปผ่าพิสูจน์ต่อไป
นายประสิทธิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ ว่า
เสียใจกับการจากไปในครั้งนี้เป็นที่สุด เพราะนางผ่องพรรณ เป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากมานานหลายปี แต่งงานอยู่กินกันจนมีลูกสาววัยน่ารักชื่อน.ส.ศศิธร สูงล้น อายุ 15 ปี ที่ผ่านมาช่วยกันทำมาหากินตลอด โดยภรรยายึดอาชีพขับรถสองแถวสายนิคมพัฒนา-ระยอง ช่วยหาเลี้ยงครอบครัวเรื่อยมา ถึงแม้จะยึดอาชีพขับรถรับจ้าง แต่เราก็มีความสุขกินอยู่อย่างพอเพียง
การจากไปของภรรยาในครั้งนี้
นอกจากจะกระทบกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่แล้ว ยังกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจลูกสาวอีกด้วย เพราะครอบครัวผูกพันกันมาก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ขอให้เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ไม่อยากให้เกิดกับใครอีกเพราะมันทรมานจิตใจ
ความจริงคนขับรถทัวร์ก็น่าจะใช้ความระมัดระวังให้มากกว่านี้
ขนาดอยู่ในสถานีขนส่งแท้ๆ แต่ก็ยังเกิดอุบัติเหตุทับคนจนได้ ของแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับใครก็คงไม่รู้ ถ้าไม่ประมาทก็คงไม่เกิดการสูญเสีย ผมขอให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย ตอนนี้เราคือผู้สูญเสีย สภาพจิตใจย่ำแย่มาก นายประสิทธิ์กล่าว
ด้านความเคลื่อนไหวของคนขับรถทัวร์ซึ่งฉวยโอกาสหลบหนี
ไปหลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนสภ.อ.เมืองระยอง ได้ทำการตรวจสอบทราบชื่อคนขับคือนายวัลลพ วังทอง โดยนายวัลลพดอดเข้ามอบตัวกับร.ต.ท.วิรัตน์ในเวลาต่อมา พร้อมให้การยืนยันว่ามองไม่เห็นผู้ตายจริงๆ มารู้อีกทีก็ตอนมีคนตะโกนว่าขับรถทับคนแล้วจึงตกใจวิ่งหนี เจ้าหน้าที่จึงสั่งดำเนินคดีในข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายทันที ซึ่งนายวัลลพยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวออกไปในเวลาต่อมา
สำหรับศพของน.ส.ผ่องพรรณ ถูกตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่บ้านพัก
และทำการฌาปณกิจศพที่วัดทับมา เมืองระยอง เมื่อตอนเย็นวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทมาร่วมงานจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าสลด
การจากไปของเหยื่อความประมาทในครั้งนี้ ทางสถานีขนส่งบ.ข.ส.ระยอง ได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดกว่าเดิม เน้นย้ำให้พนักงานขับรถทุกคน เพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเวลาที่รถกำลังเข้าจอดในช่องจอดรอรับผู้โดยสาร จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากมีผู้โดยสารพลุกพล่าน
ขณะเดียวกันก็ต้องขอความร่วมมือจากผู้โดยสารเช่นกัน
ว่าให้ช่วยระมัดระวังอย่าเข้าใกล้ตัวรถจนเกินไป เพราะบางทีบางครั้งรถบัสขนาดใหญ่จะไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วทุกมุม ต้องอาศัยพนักงานประจำรถเป็นคนคอยบอกทางทุกครั้งที่เข้า-ออกต้องช่วยกันระมัดระวังทั้งคนขับและผู้โดยสารเพื่อให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา