มีคุณนายคนหนึ่งเป็นคนใจบุญสุนทาน ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
ตักบาตรเสร็จแล้วก็แต่งสำรับกับข้าวอย่างประณีตบรรจงเพื่อเอาไปถวายท่านเจ้าประคุณ "สมเด็จโต" ด้วยความเคารพนับถือในพระจริยาวัตรของท่าน และชอบที่จะฟังท่านคุยเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง
เรียกได้ว่า ตักบาตรเสร็จเมื่อไหร่ คุณนายต้องมาวัดทุกวัน ถวายอาหารเสร็จก็คุยกับสมเด็จโต
วันหนึ่ง หลังจากที่คุณนายกลับไปแล้ว พระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของสมเด็จโตก็เข้าไปกราบเรียนว่า
"คุณนายคนนี้ใจบุญสุนทานจริงๆ ... แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจแคบ เหลือแม่อยู่คนเดียวก็ปล่อยให้อด ๆ อยาก ๆ ไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบ ๆ หลังบ้าน ส่วนตัวเองและลูก ๆ อยู่ตึกใหญ่โต สะดวกสบาย เวลาพูดจากับแม่ก็ฟังไม่ได้ ทั้งหยาบคาย ขู่ตะคอก กระแทกกระทั้น ผิดกับตอนมาคุยกับสมเด็จโตที่วัดชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แม่จะออกมาเดินเล่นหน้าบ้านก็ไม่ได้ ไม่ยอมให้ออก เพราะมีแม่แก่ ๆ หลง ๆ ลืม ๆ สติไม่สมประกอบ ก็เลยอายเขา
มีคนเขาเล่าให้ฟังหลายคนแล้ว ... เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบได้!"
สมเด็จโตก็นั่งฟังเฉย ไม่พูดว่าอะไรวันหนึ่ง สมเด็จโตมีกิจนิมนต์ไปทำบุญบ้าน ขากลับเดินผ่านหน้าบ้านคุณนายคนนั้น ท่านก็เลยแวะบ้านคุณนายก่อน คุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯ มาเยี่ยมถึงบ้าน เพราะถือเป็นมงคลอย่างสูงที่พระชั้นสมเด็จฯ มาเยี่ยม จึงเรียกลูกหลานมากราบเท้าท่านเป็นการใหญ่ แล้วก็คุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ มากมาย
ระหว่างนั้น สมเด็จโตถามคุณนายว่า
"พระในบ้าน...มีไหม?"
"มีเจ้าค่ะ... พระในบ้านมีหลายองค์... เป็นพระเก่า ๆ ทั้งนั้น สมัยสุโขทัยก็มี เชียงแสนก็มี อาราธนาท่านสมเด็จฯ ขึ้นไปดูข้างบน"
สมเด็จโตก็เฉย แล้วถามต่อว่า
"ได้ทราบข่าวว่าคุณนายมีแม่อีกคน ... เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนเสีย?"
คุณนายสะอึก เสียวแปลบเข้าไปในหัวใจ ... จะตอบตามตรงก็กลัวว่าสมเด็จฯ จะเดินไปดู และถ้าเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่ตนเองแล้วท่านจะติเตียน
คุณนายอึก ๆ อัก ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า
"ตอนนี้ท่านไม่อยู่เจ้าค่ะ... ออกไปเยี่ยมญาติ... อีกนานถึงจะกลับ"
สมเด็จโตนั่งนิ่งอยู่สักครู่แล้วจึงลากลับ
หลังจากวันนั้น คุณนายก็ยังคงไปวัดตามปกติวันหนึ่ง สมเด็จโตเห็นว่า วันนี้คุณนายยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาร่าเริง อารมณ์ดีหลังจากได้ทำบุญทำทาน จึงถามว่า
"พระในบ้านของโยม... โยมดูแลเรียบร้อยแล้วหรือยัง?"
"เรียบร้อยเจ้าค่ะ! ดิฉันจุดธูปเทียน ถวายอาหาร บูชาเสร็จแล้วจึงมาที่วัด ... ท่านไม่ต้องเป็นห่วง"
"อาตมาไม่ได้หมายถึงพระพุทธรูป ...
พระในบ้านที่อาตมาถามถึงนี่เป็นพระที่ยังมีลมหายใจ...คือ แม่พระ...ผู้มีพระคุณสูงสุดแก่โยม
แม่ให้ชีวิตเรามาโดยเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนได้ดิบได้ดีทุกวันนี้
แม่เหน็ดเหนื่อย ทุกข์ทรมานแสนสาหัส
แม่ทนหิวเพื่อให้ลูกอิ่ม
แม่ทนหนาวเพื่อให้ลูกอุ่น
แม่ไม่เคยนอน... ถ้าลูกของแม่ยังไม่หลับ
ยามลูกเจ็บป่วย...ร้องไห้ หัวใจแม่ก็เจ็บปวดและร้องไห้พร้อมกับลูกด้วย
แม่อยากเอาความเจ็บปวดทั้งหมดของลูกมาไว้ที่แม่
ถ้าทำได้... แม่ยอมตายเพื่อลูกได้
พระคุณของแม่นี้ใหญ่หลวงเกินกว่าจะคณานับ
เราต้องตอบแทนบุญคุณท่านบ้างนะโยม
เอาตาดู...หูใส่...เอาใจใส่ท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้ท่านอด ๆ อยาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูแลท่านบ้าง
อาตมาได้ข่าวว่า คุณโยมเหลือแม่อยู่คนเดียวและไม่ค่อยสนใจความเป็นอยู่ของท่าน ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ ... ไม่สงสารท่านบ้างหรือโยม?
โยมจัดอาหารมาถวายพระได้ทุกวัน แต่พระในบ้านอีกองค์... โยมไม่เคยจัดให้
และตอนที่โยมจัดมาให้อาตมา สังเกตดู... โยมจัดมาให้อย่างดี ประณีตบรรจง เมื่อก่อนอาตมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ฉันของโยมตามปกติ แต่ตอนนี้บอกตรง ๆ เลยว่า... กลืนไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว!
อาตมาเป็นพระในวัด... ไม่ควรเอาเปรียบพระในบ้านของโยมเกินไป
ถ้าพระในบ้านยังอด พระในวัดก็กลืนไม่ลง!!
การทำบุญให้ได้บุญมากนะโยม... ต้องเลี้ยงพ่อแม่ให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน แล้วจึงถวายพระ"
...
...
คุณนายไม่พูดอะไรอีก ... แล้วน้ำก็ค่อย ๆ ไหลออกจากตา
.......................
บางคนกว่าจะรู้ว่าพ่อแม่เป็นพระในบ้านผู้ประเสริฐก็สาย... เมื่อท่านทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว