นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารมต.ประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 หรือโครงการลงทะเบียนคนจน ประจำปี 2560 ซึ่งได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มของผู้ที่มีสิทธิลงทะเบียน โดยต้องมีทรัพย์สินทางการเงินไม่เกิน 1 แสนบาท ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากธนาคาร สลากออมสิน สลากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือสลากธ.ก.ส. พันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ รวมทั้งต้องไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหรือทาวเฮ้าส์เกิน 25 ตารางวา หรือห้องชุดเกิน 35 ตารางเมตร ขณะเดียวกันต้องไม่มีที่ดินเพื่อการเกษตรเกิน 10 ไร่ หรือใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่การเกษตรต้องไม่เกิน 1 ไร่
ทั้งนี้จากเดิมที่กำหนดเงื่อนไขของผู้มีสิทธิลงทะเบียนเพียงแค่ มีสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป และเป็นผู้ว่างงานหรือมีรายได้ที่เกิดขึ้นในปี 2559 ไม่เกิน 1 แสนบาท เท่านั้น ขณะเดียวกันยังได้เพิ่มเติมหน่วยลงทะเบียนเพิ่มขึ้น คือคลังจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานเขตกรุงเทพฯ ทุกเขต จากเดิมที่ลงทะเบียนได้เฉพาะธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือธ.ก.ส.ทุกสาขา ธนาคารออมสินทุกสาขา และธนาคารกรุงไทยทุกสาขา เท่านั้น
สำหรับการเปิดให้ลงทะเบียนคนจนในปี 2560 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.-15 พ.ค.นี้ ผู้มีสิทธิทุกคนต้องมาลงทะเบียนใหม่หมดทั้งรายเดิมที่เคยลงทะเบียนแล้วและรายใหม่ที่ยังไม่เคยลงทะเบียน โดยต้องเตรียมบัตรประชาชนและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้พร้อมเพื่อความรวดเร็วในการกรอกข้อมูล ขอแบบฟอร์มการลงทะเบียนได้ที่หน่วยลงทะเบียนทุกแห่ง กรอกแบบฟอร์มให้ชัดเจนและครบถ้วน จากนั้นให้ยื่นแบบฟอร์มฉบับเต็มด้วยตัวเองที่หน่วยลงทะเบียน เสียบบัตรประชาชน พนักงานจะกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ให้ จากนั้นให้ตรวจสอบข้อมูลที่พนักงานกรอกให้ถูกต้อง ชัดเจน ครบถ้วนและลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
นายณัฐพร กล่าวว่าผู้มีสิทธิสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิได้ภายในเดือนมิ.ย. นี้ จากเว็บไซต์ www.epupomymayment.go.th หรือที่ทำการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หากไม่มีชื่อ ให้รีบติดต่อที่หน่วยลงทะเบียน และสุดท้ายให้เตรียมตัวรับบัตรสวัสดิการประจำตัว ที่กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดำเนินการให้ต่อไป โดยผู้ที่ได้รับบัตรสวัสดิการจะได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ต่อไป ทั้งเรื่องของค่าโดยสารในการเดินทาง การช่วยเหลือเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น
สำหรับผลการโอนเงินตามมาตรการลงทะเบียนคนจนจำนวน 1,500 บาท และ 3,000 บาท นั้นสามารถโอนได้ 7.52 ล้านคน หรือคิดเป็น 97.5% ของผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินโอนทั้งสิ้น 7.71 ล้านคน โดยคนที่ยังไม่ได้รับโอนเงินมีทั้งสิ้น 1.89 แสนคน เนื่องจากไม่มีบัญชีธนาคารที่รัฐจะโอนเงินให้ ไม่มาติดต่อธนาคาร และมีชื่อ-นามสกุล ไม่ตรงกัน