เมื่อเวลา 00.20 น. วันที่ 26 ก.พ. 60 ร.ต.อ.กันตพัฒน์ ทองคำ รอง สว.ป. สภ.กุยบุรี ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า รถยนต์ต้องสงสัย จอดอยู่ริมถนนปากทางเข้าโรงพยาบาลกุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลานาน เกรงว่าจะมาก่ออาชญากรรม เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นซอยเปลี่ยวและเคยเกิดเหตุมาแล้วหลายครั้ง จึงพร้อมด้วยสายตรวจรถยนต์เข้าตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุพบรถกระบะตอนครึ่งยี่ห้ออีซูซุ สีบอนด์เงิน ทะเบียน บก 9173 บึงกาฬ จอดอยู่ตามที่ได้รับแจ้ง จึงนำรถยนต์สายตรวจจอดปิดหน้ารถเพื่อป้องกันการหลบหนี จากนั้นรีบเข้าควบคุมรถไว้ เมื่อเข้าไปสำรวจพบกระจกประตูฝั่งคนขับมีผ้าสีเขียวผืนหนึ่งแขวนบังสายตาจากด้านนอก ส่วนที่บริเวณหน้ารถที่เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารพบหญิงวัย 47 ปีคนหนึ่ง ปรับเบาะนั่งในลักษณะเอนนอนไปด้านหลัง สวมเสื้อไม่มีแขนสีขาวลายจุดสีชมพู ซึ่งกระดุมเสื้อถูกแกะออก โดยเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดึงเสื้อมาปิดหน้าอกเอาไว้และหันหน้าหลบ ส่วนที่เบาะคนขับก็ปรับเอนนอนเช่นเดียวกัน แต่ผู้ที่อยู่บนเบาะเป็นพระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่ง จีวรทุ่งห่มถกขึ้นมา และพยายามเอาจีวรปิดหน้าตัวเองไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เชิญให้ทั้งคู่ลงมาจากรถเพื่อตรวจสอบ
จากการสอบถามทราบว่า พระรูปดังกล่าว ชื่อพระไพโรจน์ จานแก้ว อายุ 43 ปี อยู่จำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง ประจวบคีรีขันธ์ ที่เพิ่งมีงานปิดทองฝังลูกนิมิตไป โดยพระรูปดังกล่าวได้อ้างกับเจ้าหน้าที่ว่า ช่วงเย็นที่ผ่านมาตนเองพร้อมคนขับรถได้มารับสีกาคนดังกล่าวไปเพื่อจะช่วยขนของให้น้องของสีกา ระหว่างทางคนขับรถได้ขอลงที่บ้านไร่บน ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จากนั้นตนเองจึงได้ขับรถมาพร้อมกับสีกาและหลานวัยเด็กอีกหนึ่งคน โดยเมื่อมาถึงบริเวณดังกล่าวได้จอดรถพักด้าน สีกาคนดังกล่าว เปิดเผยว่า บ้านอยู่นิคม ต.อ่าวน้อย อ.เมืองประจวบฯ ที่มาวันนี้ก็วานให้รถของพระมาช่วยบรรทุกของให้น้องสาวนำกลับไปที่บ้าน
ด.ต.ยุทธ แป้นทอง เจ้าหน้าที่สายตรวจ กล่าวว่า ในขณะออกตรวจพื้นที่ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีรถมาจอดตรงนี้นานจนผิดสังเกต เนื่องจากเป็นที่มืด เมื่อมาถึงก็พบว่ามีพระกับสีกา นอนอยู่บนเบาะด้านหน้ารถในลักษณะเอนลงทั้งคู่ ส่วนในแค็บหลังมีเด็กเล็กนอนหลับอยู่ โดยสีกานอนอยู่บนเบาะในลักษณะหันหน้าไปทางพระ ซึ่งทาง ร.ต.อ.กันตพัฒน์ ได้ติดต่อไปยังรองเจ้าอาวาสวัดที่พระรูปดังกล่าวจำพรรษาอยู่ เพื่อทำการไต่สวน ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เพียงแค่กล่าวตักเตือนไปว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมาะสมกับเพศบรรพชิต ส่วนทางต้นสังกัดของพระรูปนี้จะจัดการอย่างไรต่อไปก็แล้วแต่จะเห็นสมควร