วันที่ 24 ก.พ. 60 นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย ได้เดินทางมายังศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษภาคเหนือ เพื่อยื่นหนังสือกับพ.ต.ท.สะอาด สุนทร ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษภาคเหนือ ส่งถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ตรวจสอบพระภิกษุที่อยู่ในวัดธรรมกาย เพราะอาจมีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยแฝงอยู่ หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบกรณีที่พระภิกษุมีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ ที่วัดธรรมกาย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย
โดยในหนังสือได้มีการระบุให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการตรวจสอบพระภิกษุที่เป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย สืบเนื่องมาจาก ข่าวตามสื่อมวลชนและโซเชียล ได้เปิดเผยถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าปฏิบัติหน้าที่ ณ วัดธรรมกาย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีโดยปรากฏภาพของพระภิกษุมีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ จากเหตุการณ์ดังกล่าวมีข้อสังเกตที่สำคัญ ของบุคคลที่เป็นพระภิกษุในวัดพระธรรมกาย อาจจะเป็นพระภิกษุที่เป็น คนต่างด้าว ซึ่งไม่ได้มีสัญชาติไทย หรือพระภิกษุที่เป็นคนไร้สัญชาติ เข้ามาประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือยังไม่มีสถานะทางทะเบียน ซึ่งหากมีการตรวจสอบแล้วพบว่าหากผู้ที่เป็นภิกษุเป็นคนต่างด้าวจะถือว่ามีความผิด ผู้ที่อุปการะหรือช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร จะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 นอกจากนี้หากผู้ที่เป็นพระภิกษุเป็นที่ได้รับการพิจารณาการได้สัญชาติไทย ตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 7 (ทวิ) ซึ่งอาจถูกถอนสัญชาติได้ตามมาตรา 17 (3) (4) หากกระทำการใด ๆ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงหรือขัดต่อประโยชน์ของรัฐ กระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดต่อความสงบหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงได้ออกมายื่นหนังสือดังกล่าวเพื่อหวังว่าจะเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อไป
โดยทางด้าน นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยว่า สำหรับการมายื่นหนังสือในครั้งนี้ เนื่องจากตนได้เล็งเห็นว่า แต่เดิมบุคคลในประเทศไทยนั้นมีอยูา 2 ประเภทคือ บุคคลที่มีสัญชาติไทย หรือที่เรียกว่ามี ทร.14 กับบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งมีทร.13 หรือบุคคลต่างด้าวผู้มีสิทธิอาศัยชั่วคราวในราชอาณาจักรไทย แต่ที่ผ่านมาเมื่อบุคตคลที่มี ทร.13 จะออกนอกพื้นที่นั้น จะต้องมีการขออณุญาติจากฝ่ายปกครอง ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มบุคคลต่างด้าวเหล่านี้ได้เข้ามาในประเทศไทย และอาศัยการบวชพระ และจะได้รับใบสุทธิ แสดงความบริสุทธิ์ของภิกษุสามเณรว่าเป็นภิกษุสามเณรที่ถูกต้องตามพระวินัย ทำให้ไม่ต้องมีการทำบัตรประชาชน ดังนั้นเวลาไปไหนทางเจ้าหน้าที่ก็มิอาจจะทราบได้ว่าพระภิกษุ สามเณรรูปนั้นเป็นคนไทยหรือบุคคลต่างด้าวผู้มีสิทธิอาศัยชั่วคราวในราชอาณาจักรไทย
และจากข้อมูลที่ผ่านมาก็พบว่าได้มีพระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ ได้เดินทางไปยังวัดธรรมกาย จึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการตรวจสอบบุคคลต่างด้าวผู้มีสิทธิอาศัยชั่วคราวในราชอาณาจักรไทย ที่อาศัยการบวชเป็นพระสงฆ์ และสามเณรเพื่อที่จะตบตาเจ้าหน้าที่ และอาศัยช่องว่างทางกฎหมายเหล่านี้ในการเดินทางออกนอกพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่จะต้องมีการตรวจสอบพระสงฆ์และสามเณรโดยละเอียด ซึ่งถ้าหากมีใบสุทธิก็จะต้องมีการยืนยันว่าเป็นคนไทย ถ้าเป็นบุคคลต่างด้าวผู้มีสิทธิอาศัยชั่วคราวในราชอาณาจักรไทย และมาบวชเป็นนพระสงฆ์ และสามเณร ก็จะต้องมีหนังสือในการขอเดินทางออกนอกพื้นที่ เพราะที่ผ่านมาเราได้มีการปล่อยปะละเลย จนเกิดเป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน จึงได้เดินทางมายื่นหนังสือดังกล่าว
ทั้งนี้ด้านพ.ต.ท.สะอาด สุนทร ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษภาคเหนือ ได้กล่าวว่า ในเบื้องต้นตนจะได้รับเรื่องไว้ และจะนำส่งให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยเร็ว สำหรับในเรื่องของการตรวจสอบพระภิกษุหรือสามเณรนั้น ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการเข้าไปตรวจสอบตามวัดต่างๆ เป็นปกติอยู่แล้วซึ่งในส่วนของศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษภาคเหนือนั้น รับผิดชอบ 17 จังหวัดภาคเหนือ เช่นในเรื่องการตรวจสอบวัดบุกรุกพื้นที่ป่า ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นวัดสาขาของวัดธรรมกาย แต่จะตรวจสอบทุกวัดอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้สำหรับสถาณการณ์ความเคลื่อนไหวของวัดสาขา รวมทั้งสำนักสงฆ์ สถานปฏิบัติธรรมของวัดธรรมกายในจังหวัดเชียงใหม่ จากการตรวจสอบในเบื้องต้น ยังไม่พบมีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งตามปกติวัดเหล่านี้จะมีพระสงฆ์จำวัดอยู่ไม่มากเพราะจะเป็นสถานที่ ที่มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมชั่วคราวและก็กลับไป แต่ในระยะนี้ไม่มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมเลย