สืบเนื่องจากกรณีที่ตำรวจ บช.ปส. ซึ่งนำโดย พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ลงพื้นที่ลุยค้น 40 จุดทั่วประเทศ ที่เข้าข่ายมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายนายไซซะนะ ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว ที่ถูกจับกุมไปเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา และหนึ่งในนั้นมีร้านแอเรีย 51 ธนดลแมนชั่น ย่านอินทามระ ซึ่งเป็นร้านแต่งรถบิ๊กไบค์ของนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง นักแข่งรถจักรยานยนต์ สามีแพท-ณปภา ตันตระกูล ดาราสาวและพิธีกรชื่อดัง เนื่องจากถูกหนึ่งในลูกน้องของนายไซซะนะซัดทอดว่ามีหน้าที่ฟอกเงินให้เครือข่าย
และในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 เบนซ์ เรซซิ่งเดินทางมาพร้อมทนายความ และนำหลักฐานเอกสารบางส่วนเข้าชี้แจงกับตำรวจ บช.ปส. ถึงที่มาที่ไปของทรัพย์สินหลายรายการ โดยเฉพาะรถยนต์หรูยี่ห้อลัมโบร์กินี กัลลาร์โด รุ่นย่อย SuperLeggera LP 570-4 สีเทา-ดำ ทะเบียน กจ.51 กรุงเทพมหานคร ที่มีมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท โดยเจ้าตัวอ้างว่าได้ยืมเงิน 6 ล้านบาท จากนายณัฐพล นาคคำ หรือนายบอย ลูกน้องนายไซซะนะ ซึงเป็นผู้ให้การซัดทอดถึงตน ไปดาวน์รถลัมโบร์กินี
ต่อมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า เรื่องนี้นายอัครกิตติ์ต้องไปหาหลักฐานต่างๆ มาว่ามีหลักฐานการกู้ยืมเงินหรือเอกสารหรือไม่ เพราะการที่ระบุว่านายบอยให้ยืมเงิน 6 ล้านบาทแบบปากเปล่าโดยไม่มีสัญญา ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติในการกู้ยืมเงิน ในกรณีที่นายอัครกิตติ์ชี้แจงพนักงานสอบสวน บช.ปส.ไม่ได้ ทางตำรวจก็จะทำหนังสือถึง เลขาธิการ ป.ป.ส. เพื่อให้ดำเนินการยึดรถลัมโบร์กินี หลังจากนั้นก็จะเอาเรื่องเข้าคณะกรรมการฯ เพื่อทำเรื่องส่งฟ้องอัยการและศาล จนนำไปสู่การขายทอดตลาดตามขั้นตอนกฎหมาย อีกทั้งนายอัครกิตติ์จะถูกแจ้งข้อหาสมคบกันกระทำผิดด้วย หากนายอัครกิตติ์ชี้แจงเรื่องเงิน 6 ล้านบาทได้ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะคืนรถลัมโบร์กินีให้
ด้าน พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รอง ผบช.ปส. เปิดเผยว่า หลังการสอบถาม พนักงานสอบสวนยังไม่มีการนัดหมายการเข้าพบครั้งถัดไป แต่ทราบว่านายอัครกิตติ์ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนที่เหลือเพื่อเข้ามาชี้แจงเพิ่มเติม สำหรับการตรวจสอบข้อมูลตามการซักถาม ขณะนี้ได้ทาง บช.ปส.ได้ประสานไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ ป.ป.ส. เพื่อขอตรวจสอบเรื่องเส้นทางการเงิน โดยเฉพาะประเด็นเงิน 6 ล้านบาท ที่นายอัครกิตติ์อ้างว่าได้ขอยืมจากนายณัฐพล เครือข่ายค้ายาเสพติดของนายไซซะนะ ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่ามีการยืมเงินเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เป็นเงินที่มีที่มาอย่างไร หรือเป็นตัวแทนในการดำเนินการแทนนายณัฐพลในการซื้อรถลัมโบร์กินีหรือไม่ เนื่องจากนายณัฐพลเป็นผู้ต้องหาในคดีค้ายาเสพติด จึงไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินใดๆ ได้
ส่วนประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของเบนซ์ เรซซิ่ง และนายณัฐพล ที่รู้จักและสนิทสนมกันจากความรักความชื่นชอบเรื่องการแต่งรถ มองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องที่เกิดข้อสงสัยคือประเด็นเรื่องการยืมเงิน 6 ล้านบาทโดยไม่มีหลักประกันใดๆ แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ นายณัฐพลเคยยืมเงิน 5 แสนบาท จากนายอัครกิตติ์ โดยให้ทะเบียนรถหรือคู่มือรถ รถโฟล์ค สีขาว ทะเบียน กจ 51 ไว้ อีกทั้งต่อมายังมีประเด็นสงสัยเรื่องที่นายอัครกิตติ์ได้โอนกรรมสิทธิ์รถโฟล์ค ที่มีราคาหลักล้านบาท โดยสูงเกินกว่าเงินที่ยืมเป็นของตนเอง ซึ่งนายอัครกิตติ์ ยังไม่ได้ตอบรายละเอียดในเรื่องนี้
นอกจากนี้ยังระบุว่า ระหว่างการซักถามยังมีอีกหลายประเด็นที่พนักงานสอบสวนเกิดข้อสงสัย เช่น กรณีการถอนเงินสดธนาคารทยอยใช้หนี้ให้กับนายณัฐพล ที่อ้างว่าถอนเงินครั้งแรก 1.9 ล้านบาท ซึ่งนายอัครกิตติ์ทราบดีว่าอยู่ในข่ายเป็นธุรกรรมต้องสงสัย รวมถึงประเด็นอื่นๆ แต่เนื่องจากนายอัครกิตติ์ไม่ใช่ผู้ต้องหาในคดีนี้ จึงเป็นเพียงการซักถามในหลายประเด็น เพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด
และถึงแม้เจ้าหน้าที่จะยังไม่แจ้งข้อหากับนายอัครกิตติ์ แต่หลังสอบถามเกี่ยวกับที่มาของรถลัมโบร์กินี เชื่อว่าเขายังปกปิดข้อมูลบางอย่าง เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมาทางตำรวจได้สอบปากคำเขาพร้อมกับมารดาและผู้เกี่ยวข้องกับร้านแอเรีย 51 แต่การให้การบางประเด็นยังไม่ชัดเจน และน่าจะยังมีบางอย่างปกปิดเจ้าหน้าที่ ประกอบกับคำให้การในบางประเด็นยังไม่สอดคล้องกับข้อมูลตำรวจ
พล.ต.ต.ชาตรีกล่าวอีกว่า "ตำรวจตั้งข้อสังเกตถึงคำให้การของเบนซ์ว่า เบนซ์สนิทกับนายบอย โดยที่เขาเล่าว่าบอยเคยนำรถโฟล์คขาวมาจำนำราคา 5 แสนบาท ซึ่งเบนซ์ขอเพียงเล่มทะเบียนรถไว้ ขณะที่เบนซ์บอกกับบอยว่า รถลัมโบร์กินีเป็นรถในฝัน จึงขอยืมเงินบอย 6 ล้านบาทไปดาวน์ โดยที่บอยไม่ขอหลักฐานอะไรไว้ ผิดกับบอยที่ต้องนำรถมาให้เพื่อแลกกับเงิน 5 แสนบาท ประกอบกับหากเป็นรถเบนซ์จริง เหตุใดกระบวนการแต่งรถลัมโบร์กินีจึงมีบอยเข้ามาเกี่ยวข้องบ่อยครั้ง จึงเชื่อว่ารถลัมโบร์กินีน่าจะเป็นของบอย ทำให้ตำรวจต้องหาข้อมูลในทางสืบสวนสอบสวนมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ ส่วนความชัดเจนอื่นจากนี้ต้องให้ตำรวจประชุมร่วมกันสัปดาห์หน้าอีกครั้ง"
ด้าน พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส. ในฐานะรับผิดชอบด้านการสืบสวน เปิดเผยว่า ในส่วนของรถลัมโบร์กินีที่ถูกตรวจสอบ พบว่านำไปจอดทิ้งไว้บริเวณคาร์แคร์ย่านรามอินทรานั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหาพยานหลักฐานและตรวจสอบกล้องวงจรปิดว่า ใครเป็นผู้นำไปจอดทิ้งไว้ และจอดในช่วงเวลาใด เช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ สีส้ม ยี่ห้อเคทีเอ็ม ที่นำมาจอดไว้บริเวณกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นกัน
ขณะที่กรณีนายอู๋ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเนื่องจากแนวทางการสืบสวนพบว่ามีความสนิทกับนายณัฐพล และนายอัครกิตติ์นั้น ล่าสุดทางพนักงานสอบสวนได้เชิญตัวมาสอบปากคำแล้วเมื่อวันที่ 3 พ.ค. โดยไม่สามารถเปิดรายละเอียดการสอบสวนได้ ส่วนจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ ให้เป็นดุลยพินิจของคณะพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ ในส่วนของข้อมูลการสืบสวนสอบสวนของคดีนี้ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมด จะมีการประชุมสรุปความคืบหน้าอีกครั้ง ในวันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ โดยมี พล.ต.ท.สมหมายเป็นประธานในการประชุม ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนหลังการประชุมเสร็จสิ้น
พล.ต.ต.พรชัยยังเผยว่า หลังจากนายอัครกิตติ์ได้มาให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ บช.ปส. ก็จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับการชี้แจงหลักฐานของรถว่าตรงกับคำให้การของนายอัครกิตติ์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม จะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ป.ป.ส.และ ปปง. ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป เพื่อหาข้อสรุปความเชื่อมโยงของเครือข่ายยาเสพติดของนายไซซะนะ คำให้การของนายอัครกิตติ์ รวมถึงมีความจำเป็นจะต้องเชิญนักแสดงสาว แพท ณปภา มาให้ข้อมูลหรือไม่ และเชื่อว่าอีกไม่เกินสัปดาห์หน้าจะสามารถหาข้อเท็จจริงที่ชัดเจนของคดีนี้ได้