พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงสื่อกรณีติดตาม พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาในคดีสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร ซึ่งมีความเป็นห่วงเรื่องกระแสมวลชน ว่า เรื่องดังกล่าวได้เห็นตั้งแต่การเข้าค้นในครั้งแรก ซึ่งต้องกังวลเป็นธรรมดาเพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย ครั้งก่อนนายกรัฐมนตรีก็เคยสั่งการว่าอย่าให้เลยเถิดไปปัญหาอื่น ๆ ซึ่งคำสั่งการดังกล่าวยังสามารถนำมาใช้ได้ต่อ และเป็นสิ่งที่ตนได้ย้ำว่าต้องไปคุยกับฝ่ายของวัด ผู้ปกครองฝ่ายสงฆ์ให้ดี การที่จะบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงพูดไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าเกิดขึ้นจริง ๆ มีการอ้างว่ามาทำกิจกรรมแต่กิจกรรมที่ทำไม่สอดรับกับเจตนา มีการขัดขวางการจับกุม
" อ้างว่ามาทำโน่น ทำนี่ แต่มันก็เกิดลักษณะการไม่ให้ความร่วมมือ จนมีการฟ้องร้องคนที่ขัดขวางการจับกุม ทุกคนก็เห็นภาพว่าเจตนากับกิจกรรมที่อ้างสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากเป็นปกติก็ต้องให้ความร่วมมือ ใครผิดก็หลีกทางให้จับ กิจกรรมก็ทำกันไป ทุกองค์กร ทุกสถานที่ก็เป็นแบบนี้ แต่ครั้งนั้นพฤติกรรมที่ทำส่อถึงอะไรคงไม่ต้องบอก เจ้าหน้าที่อะลุ่มอล่วยเต็มที่ เมื่อไม่ได้ก็ออก ทั้งที่เตรียมกำลังไว้แล้ว แต่เพราะดูแล้วมันไม่ใช่การทำกิจกรรมแบบที่อ้าง แต่ประเมินแล้วว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ หากทำต่อก็จะกลายเป็นอีกเรื่องทันที การดำเนินการหลังจากนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำ เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีสิทธิได้รับการละเว้น
ถามว่าต้องหาบุคคลวิเศษขนาดไหนที่จะไม่ต้องทำสิ่งเหล่านี้ได้ ในเมื่อไม่มีดีเอสไอก็ต้องทำ หากไม่ทำก็จะเป็นการแสดงว่ามีคนวิเศษเกิดขึ้น มีการเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมยังต้องปฏิบัติกับบุคคลอื่นด้วย หากผู้ต้องหาอื่นหาข้ออ้างแบบนี้ จะตอบกันว่าอย่างไร หากทำกรณีนี้ให้เป็นข้อยกเว้นในกระบวนการยุติธรรมมันก็จะกระทบกับคดีอื่นด้วย" พล.อ.ไพบูลย์กล่าว