ปรับทัพรับ สถานการณ์พิเศษ จับตา 3 แม่ทัพสนามหลวง กับเขี้ยวเล็บของ บิ๊กแดง

ปรับทัพรับ สถานการณ์พิเศษ จับตา 3 แม่ทัพสนามหลวง กับเขี้ยวเล็บของ บิ๊กแดง

คําว่า “กำลังจะเปลี่ยนแปลงประเทศ” ของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.

ตามมาด้วย คำว่า “สถานการณ์พิเศษ” ของ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช.

ทำให้สถานการณ์ที่ยังไม่มีความชัดเจน ท่ามกลางกระแสข่าวลือมากมาย ถูกจับตามองอย่างยิ่ง ทั้งจากคนในประเทศและต่างประเทศ

แต่เชื่อกันว่า การเปลี่ยนผ่านประเทศในครั้งนี้จะเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรผิดคาด หรือลึกลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เช่นข่าวลือ

แม้ว่าบ้านสี่เสาเทเวศร์ จะดูเงียบผิดปกติ…

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ได้ชื่อว่ามีอำนาจสูงสุดในเวลานี้ จะดูนิ่ง สุขุม และเก็บตัวมากขึ้น ใช้เวลานั่งทำงาน ใช้ความคิด บนตึกไทยคู่ฟ้า มากกว่าที่จะรับงานข้างนอก เช่นแต่ก่อน

รวมถึงการยกเลิกกำหนดการเดินทางไปเยือนต่างประเทศทั้งหมดในช่วงนี้ ทั้ง เปรู ชิลี ในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อที่จะอยู่ในประเทศ เพราะเป็นช่วงการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล ในช่วง 50 วัน และ 100 วัน รวมทั้งเตรียมพร้อม หากโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ถวายรายงาน

นอกจากนี้ ยังต้องคอยติดตามสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะการดูแลประชาชนที่มาถวายความอาลัย และถวายสักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่สนามหลวง ตลอดเวลา

พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เพียงแค่นิ่งเงียบเท่านั้น แต่มีความเครียดร่วมอยู่ด้วย โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ เพราะในวันสวรรคตนั้น พล.อ.ประยุทธ์ นายทหารเสือฯ ก็หลั่งน้ำตา เมื่ออยู่โดยลำพัง

แต่ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในตอนที่บันทึกเทป แถลงการณ์หลังจากที่สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ การสวรรคต ออกมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องบันทึกเทปไปพร้อมน้ำตาไหล จนต้องมีการ “เทก” หลายครั้ง จน พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจว่า จะเทกกี่ครั้ง น้ำตาก็ไหลอยู่ดี จึงให้ถ่ายทำกันต่อไป

มาตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ดูซูบลง และน้ำหนักลดลง เพราะนอนดึก และต้องคิดแผนต่างๆ เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ และเตรียมการเรื่องการสร้างพระเมรุมาศ และการพระราชทานเพลิงพระบรมศพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก รวมทั้งเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินตามปกติ

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องพยายามผ่อนคลายตัวเอง ด้วยการไปเล่นกอล์ฟบ้าง เพื่อออกกำลังกายไปด้วยในตัว การอยู่บ้านอ่านหนังสือ และดูโทรทัศน์ หรือนำของสะสมมาดู เช่น แหวน พระ นาฬิกา และบางทีก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ออกมาอุ่นเครื่องใน ร.1 รอ.

บางครั้งก็กระโดดขึ้นรถ แล้วขับออกจากประตูบ้าน ร.1 รอ. แบบไม่บอกกล่าวใคร แต่ทว่า ไม่ได้ขับไปไหนไกล ไปบ้าน บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ ที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ใน ร.1 รอ. นั่นเอง

แต่ในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ปกติชอบอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับอยู่แล้ว ก็มอนิเตอร์ข่าวโทรทัศน์มากขึ้น เพื่อรับทราบเรื่องราวดีๆ ที่เกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่สื่อนำเสนอได้หลากหลาย จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ชื่นชมและขอบคุณสื่อทุกแขนงอยู่เสมอๆ

สถานการณ์หลังการเสด็จสวรรคต ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ อารมณ์ดี ไม่มีโมโหฉุนเฉียวเช่นที่เคย

แต่ก็ป้องกันด้วยการจัดระบบการแถลงข่าวของนายกฯ ใหม่ โดยเป็นการแถลงข่าวตามที่ต้องการจะพูด หรือสร้างการรับรู้ให้ประชาชน แต่ไม่อยากตอบคำถามนักข่าว เพราะกลัวจะมีอารมณ์ จึงให้นักข่าวส่งคำถามมาที่ทีมโฆษกรัฐบาลก่อน แล้วนายกฯ ก็จะตอบให้ทีละคำถาม เฉพาะคำถามที่ผ่านการกลั่นกรองโดยทีมโฆษกฯ มาแล้ว หรือคำถามที่อยากจะตอบเท่านั้น

เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ หาก พล.อ.ประยุทธ์ เกิดอารมณ์ปรี๊ดขึ้นมา ก็คงไม่เหมาะไม่งามนัก

เพราะแม้แต่การปล่อยเพลง “ความหวัง ความศรัทธา” ออกมาสู่สาธารณะในช่วงนี้ แม้เนื้อหาดี ไพเราะ แต่ก็ยังถูกวิจารณ์อยู่บ้างในเรื่องห้วงเวลา เพราะเพลงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ แต่งขึ้นเอง ในโอกาสครบรอบ 2 ปีรัฐบาล ที่เดิมวางแผนจะเปิดตัวเมื่อ 15 กันยายน 2559 วันแถลงผลงาน 2 ปีรัฐบาล แต่นายกฯ เปลี่ยนใจ ขอเก็บไว้ก่อน

โดยถือเป็นเพลงที่ 3 ของ คสช. จากเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยแต่งเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” หลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ต่อมาแต่งเพลง “เพราะเธอ คือประเทศไทย” ในโอกาสครบ 1 ปีรัฐบาล และตามมาด้วยเพลงนี้ เป็นแพลงที่ 3 ในโอกาสขึ้นสู่ปีที่ 3 ของรัฐบาล คสช.

แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่งเองทั้งหมดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในการเขียนเป็นกลอน คำคล้องจอง คำสัมผัสมาเลย ในฐานะที่มีประสบการณ์แต่งเพลงมาแล้ว 2 เพลง

แต่ก็มีความมุ่งหมายที่จะให้กำลังใจประชาชน และขอให้มั่นใจ และขอพลังใจให้ตนเอง ในการนำประเทศก้าวเดินต่อไป โดยเฉพาะในยามที่คนไทยต้องสูญเสียพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ อันเป็นที่รัก

“ประชาชนมากันมืดฟ้ามัวดิน มาถวายความอาลัย ไม่มีการบังคับ มาด้วยหัวใจ นี่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็ยังคงมีไม่หวังดี แต่ส่วนน้อย จะมาทำให้คนส่วนใหญ่คิดตามไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ พยายามสื่อถึงพวกที่วิจารณ์สถาบัน และผิดมาตรา 112

จนทำให้ฝ่ายความมั่นคง ตามแกะรอย ตรวจสอบ เอาจริงกับการปล่อยข่าวลือหรือส่งต่อข้อความบิดเบือนหรือเท็จกันในโซเชียล และในไลน์

ในขณะที่สนามหลวงและโดยรอบพระบรมมหาราชวัง ยังคงเป็นจุดรวมพลประชาชนคนไทย ที่รักสถาบัน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องมาประชุมมอบนโยบาย และเดินตรวจด้วยตนเอง เป็นครั้งที่ 2 แล้ว

นอกจากนี้ ที่สนามหลวง สำหรับทหารแล้ว ยังเป็นที่แสดงฝีมือของนายทหารดาวรุ่งใน ทบ. หลายคน ในการขึ้นสู่เก้าอี้ใหญ่อีกด้วย

ทั้ง บิ๊กโอ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ และ บิ๊กหนุ่ย พล.ต.ธรรมนูญ วิถี รวมทั้ง บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้งสามคน ที่ได้รับมอบหมายจาก บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ในส่วนของ คสช.

และในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อย พื้นที่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง (ผอ.กอร.รส.) ให้เป็น รอง ผอ.กอร.รส. ช่วยกันดูแลพื้นที่ จนทำให้ทั้ง 3 คนถูกเรียกว่า “แม่ทัพสนามหลวง”

ด้วยความที่เป็นรุ่นพี่ เตรียมทหาร 20 รุ่นเดียวกับ พล.ท.อภิรัชต์ และอาวุโสที่สุดในฐานะรองแม่ทัพภาคที่ 1 คนที่ 1 พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ จึงเป็นเสมือนแม่ทัพใหญ่แห่งสนามหลวง ที่ดูแลด้านการบริหารจัดการ การอำนวยการในภาพรวมทั้งหมด

และกลายเป็นคนที่ประชาชนรู้จักมากที่สุดในเวลานี้ เพราะเป็นผู้แถลงข่าว และชี้แจงข่าวทุกวัน ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการให้ประชาสัมพันธ์ ชี้แจงให้ข่าวทุกๆ 3 ชั่วโมงด้วยแล้ว

แถมทั้ง พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ก็เปิดโอกาสให้นักข่าวได้พูดคุยสัมภาษณ์ได้ตลอดเวลา ยกเว้นตอนประชุม ที่ก็มีวันละหลายครั้ง แถมหลายสื่อหลายช่อง แบบไม่เหนื่อยที่จะพูด จนบ่อยครั้งที่กว่าจะได้ทานข้าวกลางวัน ก็ตกเย็น

หรือบางทีก็เป็น working lunch กินข้าวไปด้วยประชุมหารือวงเล็กไปด้วย เพราะต้องมีการปรับแผนตลอดเวลา

เช่นเดียวกับ พล.ต.ธรรมนูญ ที่รับผิดชอบด้านการรักษาความปลอดภัย และการจราจร ที่ออกแนวสายบู๊ โดยจะดูแลในช่วงบ่ายจนถึงดึก แบบที่ว่า กว่าจะได้กลับบ้าน ไม่เคยต่ำกว่าเที่ยงคืน และต้องตื่นตัวพร้อมรับการประสานติดต่อและรับสถานการณ์ตลอด

ขณะที่ พล.ต.สันติพงศ์ ที่รับผิดชอบด้านงานมวลชนและกิจการพลเรือน การสร้างการรับรู้ให้ประชาชน นั้น ก็จะทำงานแบบเงียบๆ เนื่องจากต้องไปเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ด้วย แต่ก็มาร่วมประชุมด้วยเมื่อเสร็จภารกิจต่างๆ

จนทำให้จับตามองกันว่า เหล่านี้จะเป็นผลงานให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาในการเลือกเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพน้อยที่ 1 คนต่อไปด้วย

เพราะเชื่อกันว่า ในโยกย้ายปลายปี 2560 พล.ท.อภิรัชต์ ต้องขยับขึ้นห้าเสือ ทบ. เมื่อนั้น บิ๊กตู่เล็ก พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพน้อยที่ 1 เพื่อนรัก ตท.20 ของ พล.ท.อภิรัชต์ ก็จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แทน

เมื่อนั้น พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ก็อาจจะได้ขึ้น พลโท เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 หรืออาจจะกลายเป็นแคนดิเดต ชิงแม่ทัพภาคที่ 1 กับ พล.ท.กู้เกียรติ เลยก็เป็นได้

เพราะจากเดิม คาดกันว่า พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ก็คงจะได้เป็น พลโท ด้วยการออกไปเป็นรองเสนาธิการทหารบก เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.ธรรมนูญ สายบูรพาพยัคฆ์ หรือ พล.ต.สันติพงศ์ สายทหารเสือราชินี ที่เป็นเพื่อน ตท.22 ชิงกันขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 เพื่อจ่อเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป

แม้โดยความสนิทสนมใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีมากกว่าคนอื่นๆ แถมเป็นดาวรุ่งในสายทหารเสือฯ บูรพาพยัคฆ์ แต่ พล.ต.สันติพงศ์ ก็ยังไม่ได้แสดงฝีมือ หรือสร้างผลงานอันโดดเด่น จากเวทีสนามหลวง เท่าใดนัก

แต่บทบาทของ 3 แม่ทัพสนามหลวง ก็ทำให้บทบาทของ พล.ท.อภิรัชต์ ลดน้อยลง เพราะในยามปกติ ก็จะให้ 3 รองแม่ทัพ ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลพื้นที่ ส่วนบิ๊กแดง ก็จะแอบมาเป็นครั้งคราว และเมื่อมีผู้ใหญ่มาตรวจ เช่น นายกฯ รมว.กลาโหม และ ผบ.ทบ.

“ก็ต้องการให้รองแม่ทัพทั้ง 3 คน ได้แสดงฝีมือ เพราะเก่งกันทุกคน พูดได้เลยว่า ใครเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไปก็ได้” พล.ท.อภิรัชต์ ระบุ

แต่สนามหลวง ก็ทำให้ ผู้การมิตต์ พ.อ.นิมิตต์ สุวรรณรัฐ ต้องลุกจากเก้าอี้ ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.ป.1 รอ.)

ด้วยเหตุที่ ป.1 รอ. รับผิดชอบพื้นที่สนามหลวง จึงทำให้คนที่เป็น ผบ.ป.1 รอ. จะต้องมีเวลาเต็มที่ในการมาดูแล แต่เพราะ พ.อ.นิมิตต์ ต้องทำหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการให้นายกฯ ด้วย

ในการโยกย้ายระดับพันเอก พันโท หรือโผผู้พัน 337 นายที่ผ่านมา จึงมีการออกคำสั่งพิเศษ แยกต่างหาก ตั้ง เสธ.โอม พ.อ.จิรโรจน์ ธูปเทียนรัตน์ รอง ผบ.ป.1 รอ. ขึ้นมาเป็น ผบ.ป.1 รอ. แทน เนื่องจากการโยกย้ายระดับพันเอกพิเศษ หรือโผผู้การกรม ได้ออกไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วน พ.อ.นิมิตต์ ก็มีคำสั่งแยกต่างหากให้เป็น นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำที่สำนักปลัดกลาโหม เพื่อที่จะได้มีเวลามาทำงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อย่างเต็มตัว

เพราะในห้วงเวลานี้ เป็นห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านประเทศ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดบ้าง จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจเครียดบ้าง

นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องการให้ พ.อ.นิมิตต์ มาช่วยงานที่ทำเนียบแบบเต็มตัว แล้วให้ พ.อ.จิรโรจน์ เป็น ผบ.ป.1 รอ. แทน

ประกอบกับ พ.อ.นิมิตต์ เองก็ตั้งใจที่จะนั่งผู้การปืน 1 นี้แค่ปีเดียว แต่เมื่อมีงานสำคัญที่สนามหลวง จึงทำให้ตัดสินใจเลือกที่จะมาช่วยงานนายกฯ แบบเต็มตัว

ที่สำคัญ เป็นการจัดระบบให้ ป.1 รอ. ในการขึ้นตามไลน์ของลูกหม้อ โดยให้ พ.อ.จิรโรจน์ ที่เป็น รอง ผบ.ป.1 รอ. อยู่ ขึ้นมาตามลำดับ แล้วก็ขยับขึ้นมาตามๆ กัน ทำให้ไม่เกิดปัญหาความขัดแย้ง

สมกับที่ พ.อ.นิมิตต์ ได้สร้างความรักแบบพี่น้อง “ปืนหนึ่ง” ไว้ตลอด 6 ปีที่อยู่มา
fullsizerender

จึงทำให้ พ.อ.จิรโรจน์ (ตท.31) กลายเป็นผู้การที่หนุ่มที่สุดของหน่วยคุมกำลังรบหลัก ของ พล.1 รอ. ต่อจาก พ.อ.นิมิตต์ (ตท.30) ที่แม้จบจากโรงเรียนนายร้อย VMI-Virginia Military Institute สหรัฐอเมริกา แต่ก็เรียนเตรียมทหาร 2 ปี และนายร้อย จปร. 1 ปี จึงมีเพื่อนมีรุ่น และได้เป็นประธานรุ่นอีกด้วย จึงถือเป็นนายทหารอนาคตไกลอีกคนของเหล่าทหารปืนใหญ่ ราชาแห่งสนามรบ

ในขณะที่กองทัพบก ก็เตรียมแผนที่จะปรับโครงสร้างหน่วยกำลังรบของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ใหม่ ตามแผนปฏิรูปกองทัพ ให้เข้ากับภารกิจและการทำงานของหน่วยที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์

หลังจากที่ในหน่วยใน พล.1 รอ. หลายหน่วย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้ถวายงานในนามของกองร้อย CAT ในพระองค์ ในวันราชวัลลภ 11 พฤศจิกายนนี้ ทหารรักษาพระองค์เหล่านี้ เตรียมการแสดงความเข้มแข็ง ความพร้อมรบและระเบียบวินัย ด้วยการแสดงท่ากายบริหารประกอบอาวุธ หรือ The Hops to the bodies slam จำนวน 6 กองพัน

โดยในกองทัพภาคที่ 1 มี 3 กองพลรบหลัก คือ พล.1 รอ. ทหารวงศ์เทวัญ แห่งเมืองกรุง, พล.ร.2 รอ. หน่วยบูรพาพยัคฆ์ ปราจีนบุรี และ พล.ร.9 ทหารเสือพระสุรสีห์ กาญจนบุรี

คาดกันว่า ในอนาคต อาจมียกระดับปรับโครงสร้าง และบทบาทของกองพลทหารราบที่ 1 (พล.ร.11) ที่แปดริ้ว ฉะเชิงเทรา จากที่เป็นกองพลหนุน ขึ้นมาเสริมภารกิจกองทัพภาคที่ 1 ด้วยก็เป็นได้

แต่ที่แน่ๆ ในเวลานี้ บารมีและอำนาจของ พล.ท.อภิรัชต์ เฟื่องฟูยิ่ง เพราะถือว่าเข้าไลน์ ที่จะขึ้นห้าเสือ ทบ. และเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว โดยมีอายุราชการถึงกันยายน 2563 รวมทั้งเป็นน้องรักสายวงศ์เทวัญของ พล.อ.ประยุทธ์ แถมมากมายคอนเน็กชั่นอีกด้วย

ในโผโยกย้ายผู้พันล่าสุด ที่ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ. ลงนามนั้น ตำแหน่งสำคัญ ทั้ง ผู้บังคับกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พัน ร.มทบ.11) และ ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ผบ.ม.พัน 4 รอ.) หน่วยรถถังปฏิวัติ ก็เป็นเด็กในคาถาของ พล.ท.อภิรัชต์

ทั้งการโยก ผู้พันต้อย พ.อ.อภิชา คุณสิงห์ จาก ผบ.พัน ร.มทบ.11 กลับถิ่นบูรพาพยัคฆ์ ไปเป็น เสธ.ร.2 รอ. แล้วให้ เสธ.กัง พ.อ.ณัฏฐพงศ์ อัศวินวงศ์ น้องรักของบิ๊กแดง ขยับจาก รอง ผบ.ร.111 มาเป็น ผบ.พัน ร.มทบ.11 คุมกำลังใน กทม. และคุมเรือนจำพิเศษ แขวงนครไชยศรี

และ ผู้พันเอก พ.ท.เอกพงษ์ กฤตยาเกียรติชุติ (ตท.40) ขยับจากกองทัพน้อยที่ 1 มาเป็น ผบ.ม.พัน 4 รอ. คุมขุมกำลังปฏิวัติ ของ พล.1 รอ. ในฐานะที่เคยอยู่ ม.พัน 4 รอ. มาก่อนด้วย

ท่ามกลางการจับตามองว่า ในการจัดโผผู้การกรม จนมาถึงโผผู้พันนี้ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ. ไม่ได้แทรกแซง ปล่อยให้เป็นไปตามที่แม่ทัพภาคเสนอ

จนเป็นที่ตามดูกันว่า ท่าทีของ บิ๊กหมู พล.อ.ธีรชัย นาควานิช อดีต ผบ.ทบ. จะเป็นอย่างไร เพราะ พ.อ.อภิชา คือน้องรักที่เขาได้วางตัวเอาไว้ และเพิ่งเป็นมาแค่ 1 ปี แต่มาถูกย้ายออก ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็คิดว่า พล.อ.เฉลิมชัย จะช่วยดูแลลูกน้อง พล.อ.ธีรชัย ในฐานะที่เป็นอดีต ผบ.ทบ. และเป็นคนที่สนับสนุนให้เขาเป็น ผบ.ทบ.

แม้ว่าตำแหน่งนี้ จะเป็นตำแหน่งที่ปรับเปลี่ยนตาม ผบ.ทบ. ที่การเปลี่ยนใหม่ แบบที่เรียกว่า เป็นกองพันที่จะต้องเป็น “เด็กนาย” แต่ พล.อ.เฉลิมชัย ก็ไม่ได้ส่งลูกน้องของตนเองมานั่ง แต่ให้ พล.ท.อภิรัชต์ จัดเอง

นี่ก็ยิ่งเป็นการกระชับอำนาจของ พล.ท.อภิรัชต์ หลังจากที่ก็ดันน้องรักหลายคนไปแล้วในโผระดับผู้การกรม ในสูตร “ราบ 11 คอนเน็กชั่น” ในฐานะที่เติบโตมาใน ร.11 รอ. ทั้งการให้ พ.อ.ทรงพล สาดเสาเงิน มาเป็น รอง ผบ.พล.1 รอ. จ่อไว้ และให้ พ.อ.ธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล ลูกหม้อ ร.11 ไปเป็น ผบ.ร.31 รอ.

แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นการสร้างความมั่นใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะแม่ทัพมือขวา น้องรัก ที่จะดูแลกองทัพให้อีกแรง ในช่วงสถานการณ์พิเศษ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ เช่นนี้นั่นเอง

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์