นายภานุวัฒน์ แสดงความเห็นว่า การแขวนป้ายชื่อ เป็นเพียงความสามัคคีที่อยู่ภายใต้มิติของอำนาจ การกดทับ ทั้งยังละเมิดสิทธิ อีกทั้งให้ความรู้สึกถูกคุกคาม เมื่อเดินไปไหนมาไหนแล้วถูกสายที่มองเพื่ออ่านป้ายชื่อ
เมื่อข้อความของนายภาณุวัฒน์ถูกเผยแพร่ออกไป มีคนกดถูกใจจำนวนมาก
ข้อความมีดังนี้
"หลักการในการแขวนป้ายชื่อของรุ่นน้องที่รุ่นพี่มักจะอ้างกันก็คือการให้รุ่น พี่สามารถจำชื่อน้องได้ง่ายขึ้น โดยที่ไม่ต้องถามน้องให้วุ่นวาย
ผมเชื่อว่าในหลายคณะทุกวันนี้นักศึกษาปีหนึ่งก็ยังจะต้องห้อยป้ายชื่ออยู่ โดยที่รุ่นพี่ก็ยังจำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม. (จะจำได้ก็ด้วยความสนิทส่วนตัวหรือสาขาวิชานั้นมีจำนวนหยิบมือเดียว)
เหตุผลก็คือสภาพสังคมไม่ได้เอื้อให้เราปฏิสัมพันธ์กันเท่าไหร่นัก เพราะแต่ละบุคคลก็มีหน้าที่เฉพาะตนอยู่แล้ว เช่นปี4 ก็ทำสัมนาเตรียมตัวหางานฝึกงานต่างๆ ปีสามก็ต้องเร่งงานวิจัย โน่นนี้นับประการ ซึ่งก็จะมีเพียงปีสองเท่านั้นที่เป็น ผู้สร้างกิจกรรมที่ชัดเจนซึ่งมีรุ่นพี่มาเป็นตัวประกอบบางส่วนเท่านั้น นี่ยังไม่รวมวัฒธรรมของมหาลัย สภาพแวดล้อม การนอนหอพักนอก-ในต่างๆ ที่จะทำให้ การรวมหมู่สร้างปฏิสัมพันธ์ไม่ค่อยได้มีโอกาสนัก แต่นั้นก็เป็นเรื่องปกติของสังคมที่กว้างออกไป
การสร้างมิตรควรเกิดจากกระบวนการตรงการ เดินเข้าไปถามชื่อพูดคุยต่างๆมากกว่า ที่จะมาบอกว่าเห้ยคุณต้องห้อยป้ายนะไม่งั้นเดี๋ยวผมจำคุณไม่ได้ เพราะอะไรที่มันง่ายคนมักไม่จำ
ส่วนตัวผมคนนึงแหละไม่เคยมองป้ายชื่อน้องเลยว่ามันชื่ออะไร เพราะผมไม่เคยใส่ใจและไม่ใช่สาระอะไร คนเราทักทายต้องมองหน้าไม่ใช่มองนม และหากสนใจมากๆมันดันส่งผลทางจิตวิทยาด้วย ไม่ต้องอะไร คุณลองให้ใครก็ได้ ตามมองคุณทั้งวัน คุณจะรู้สึกว่าโดนคุกคามแน่ๆ . (โดยเฉพาะป้ายชื่อแปลก เบ้นเอ๋อ,หมีหมา,มาโนช,และป้านขนาดมหึมาต่างๆที่เดินผ่านแทบไม่เห็นเสื้อ ปี1เลยเพราะป้ายบังไว้)
ป้ายชื่อจึงเป็นสัญลักษณ์ของมิติในทางอำนาจการสยบยอมต่าง การลดความเป็นปัจเจกบุคคล สิทธิความเป็นส่วนตัวลง นี่คือผลที่เกิดจากจิตวิทยา
ทำไมเราจะต้องลดความเป็นส่วนตัวของเราด้วยการประกาศชื่อให้คนหมู่มากรู้ด้วย และทำไมรุ่นพี่จึงไม่แขวนอย่างเราบ้าง ทั้งที่เราก็อยากรู้จักเขาอยู่ไม่น้อย
มันจึงเกิดข้อสงสัย ทำไมเราต้องแบกรับความไม่เป็นส่วนตัวกับแค่การอยากรู้จักเราของใครบางคน มันรู้สึกไม่เป็นธรรมไปหน่อยถ้าเราจะต้องนำเสนอตัวเองตลอดเวลานะ เพื่อที่เขาจะได้รู้จักเฉพาะช่วงตอนที่เขาอยากจะรู้จักเรา
เมื่อความเป็นปัจเจกลดน้อยลงการแขวนป้ายชื่อหมู่มากจึงเป็นการไปสร้างเอกภาพ เล็กๆซึ่งให้ความสามัคคีที่อยู่ใต้มิติของอำนาจ ทุกคนเสมอเหมือนกันหมด ความแตกต่างทางความคิด ก็จะถูกลดระดับลงในเบื้องต้น เมื่อกิจกรรมอื่นๆมาผนวกซ้ำเขาไปอีก ก็จะค่อยๆลดตัวตนลงไปอีกเรื่อยๆจนเหลือแค่ภาพของความเป็นเอกภาพของรุ่น สาขาคณะต่อไป.
ในหนังสือก็ไพร่นี่คะ ของลักขณา ปันวิชัย ได้บอกไปว่า มีแต่สัตว์ในฟาร์มเท่านั้นแหละที่มีซีเรียลนัมเบอร์ห้อยติดอยู่ นั่นก็อาจเป็นการให้เหตุผลเชิงประชดประชันมากกว่าถึงแม้ปัจจุบันการห้อยป้าย จะมีบริษัทต่างๆในพนักงานคล้องไว้ นั่นก็เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานของการทำงาน ที่นายจ้างมิได้มีปฏิสัมพันธ์ชิดเชื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ หรือการออกอีเว้นต์จัดงานภายนอก ที่สะดวกต่อการทำงานและประหยัดเวลา แต่ในลักษณะนี้ก็ย่อมแตกต่างกันสิ้นเชิงในกระบวนการทำความรู้จักกันในสถาน ศึกษา อย่างผู้มีมารยาท
บางมหาวิทยาลัยจะไปซื้อข้าวเดินตลาดหรือแม้แต่เข้าห้องสอบก็ยังจะต้องให้นัก ศึกษารุ่นน้องแขวนป้ายชื่อเข้า หากับเจอใครที่ไม่แขวนรุ่นพี่จะเข้าไปไซโคทันที คือต้องแขวนตั้งแต่ตื่นนอน ยันเข้านอนในวันวันหนึ่ง
คำถามก็คือเรื่องแบบนี้มันยังอยู่ในจุดมุ่งหมายของการอยากให้รู้จักกันจริงๆหรือเปล่า
หากพิจารณาดูแล้ว การอยากจะรู้จักใครของใครสักคนนั้นต้อง เป็นหน้าที่ ของคนที่อยากจะรู้จักเองในการเข้าหา คนที่ตนอยากรู้จักด้วย เรื่องแบบนี้จริงๆแล้วไม่น่าจะมาพูดกันเลย มันเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ด้วยซ้ำไป หากแต่สังคมมนุษย์ในมหาวิทยาลัย อาจจะผิดแปลกไปจากมนุษย์ เพราะดันไปลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น เรียกสั้นคือตามประสาชาวบ้านคือ(สังคม)ผิดมนุษย์มนา ถ้าพูดทางวิชาการคือ เป็นสังคมแห่งการสร้างทาส
หากจริงแล้วการแขวนป้ายชื่ออาจมีประโยชน์ในกิจกรรมเล็กๆในระยะเวลาสั้นๆสอง สามวัน ที่จะทำให้คนหมู่มากรู้จักกันง่ายขึ้น (อย่างผิวเผิน) เพื้อความสนุกและความราบรื่นในการดำเนินกิจกรรม
การแขวนป้ายชื่อแบบนั้นจึงแทบไม่มีมิติทางอำนาจอยู่เลย แต่การบังคับให้แขวนเป็นรายเดือนรายปี ในทุกที่ทุกสถานนั้น เป็นเรื่องที่ ละเมิด ไม่เคารพ ซึ่งไม่น่ายินดีเท่าไหร่
หากรุ่นพี่เขาจะมาถามว่าทำไมเราไม่แขวนป้ายชื่อ ผมก็เห็นควรจะต้องถามเขาว่า เขายังรู้จักเราไม่พออีกหรอก หลายเดือนที่ผ่านมา ห้อยกันอยู่ทุกวันหากเขาจะจำเราไม่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของเรา แต่เป็นความผิดของเขา ที่เขาไม่ได้เอาใจใส่เราอย่างที่เขาอ้างว่าจะเอาใจใส่เลย คือถ้าไม่เอาใจใส่แล้วต่างคนต่างใช้ชีวิตก็โอเค
แต่ถ้าบอกว่าจะมาดูแลกัน แล้วให้เรานำเสนอตัวเรามาเป็นเดือนแล้ว แล้วยังจำกันไม่ได้อีก เราอาจจะต้องพิจารณาในการคบหาสมาคมดูเสียแล้ว กระมัง
สุดท้ายนี้ป้ายชื่อที่ห้อยคออยู่นั้น มันไม่ได้ทำหน้าที่เดียวในตัวของมัน
หมายถึงในขณะที่มันกำลังทำหน้าที่หลักประกาศอะไรสักอย่างออกมา
มันยังทำหน้าที่รอง(แต่ส่งผลทวีคูณ)ในการ ปิดกั้น กดทับ สยบยอม และสร้างมิติทางอำนาจอีกมากมาย ที่ส่งผลกระทบต่อ ตัวบุคคลที่แขวน ไปถึงกลุ่มคน สภาพสังคม และ/หรือ การศึกษาด้วย
สุดท้ายแล้ว เรายังจะคบหากับป้ายชื่อได้อีกหรือไม่
ก็เป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะต้องพิจารณาดู"