"นพ.กรีชาติ พรสินสิริรักษ์" หัวหน้าศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลยันฮี ซึ่งได้รับการยอมรับในเรื่องความ "ประณีต" จนติดอันดับ 1 ใน 3 ของเอเชีย กล่าวว่า สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าประเทศไทยเป็น "ศูนย์กลางการผ่าตัดแปลงเพศ" ของโลก เพราะฝีมือแพทย์ที่มีทั้งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผ่าตัด ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม โดยเฉพาะการ "แปลงเพศ" มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ละปีดึงดูดลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ออสเตรเลีย และประเทศย่านตะวันออกกลาง เป็นต้น เข้าประเทศได้กว่า 2 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศปีละ 140,000 ล้านบาท เฉพาะที่โรงพยาบาลยันฮี ใน 1 สัปดาห์ มีผู้เข้ามาใช้บริการแปลงเพศเฉลี่ย 2-5 ราย หรือปีละกว่า 100 ราย จึงคาดว่าปี 2559 จะมีผู้มารับการแปลงเพศเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10%
"นพ.กรีชาติ" กล่าวอีกว่า จากสถิติของโรงพยาบาลยันฮี พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่มาแปลงเพศมักเป็น "ชายแปลงเป็นหญิง" ขณะที่ "หญิงแปลงเป็นชาย" มีน้อยมาก เพราะแปลงชายเป็นหญิงง่ายกว่า ขั้นตอนไม่ซับซ้อน ที่สำคัญค่าใช้จ่ายไม่แพง ส่วนใหญ่ราคาเริ่มต้นที่ 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายเป็นเคสๆ ไป ส่วนการแปลงเพศจากหญิงเป็นชายราคาจะสูงกว่า 3 เท่า เนื่องจากมีความซับซ้อนในการศัลยกรรม และต้องปรับสภาพร่างกายในหลายๆด้านมากกว่า
"เงิน" ไม่สามารถซื้อได้ทุกสิ่ง...
"แปลงเพศ" ก็เช่นกัน...
เพราะผู้ที่จะ "เฉาะ" แปลงเพศได้ต้องรับการตรวจ และ "ทดสอบ" จากจิตแพทย์ก่อน ซึ่ง นพ.กรีชาติ อธิบายว่า ผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ โดยเฉพาะจากชายกลายเป็นหญิงได้ ต้องมี "คุณสมบัติ 7 ประการ" ครบ และสภาวะจิตใจ "พร้อม" ดังนี้
1. ดำรงชีวิตแบบหญิงติดต่อกันมากกว่า 1 ปีขึ้นไป
2. เคยใช้ชีวิตเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ โดยที่คนรอบข้างยอมรับได้และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่มีความกดดันใดๆ
3. มีความรู้สึกเป็นหญิงมานานแล้ว หรืออาจจะเริ่มตั้งแต่ "จำความได้"
4. มีความรู้สึก "รังเกียจ" อวัยวะเพศชายของตัวเองและคิดว่าเป็น "ส่วนเกิน"
5. มีความรู้สึกไม่ชอบพฤติกรรมของพวก "รักร่วมเพศ"
6. เคยรับประทาน "ฮอร์โมนเพศหญิง" มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบยากิน หรือยาฉีด เพราะโดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ได้ตั้งใจจริงที่ต้องการจะเป็นหญิง คงไม่มีผู้ชายคนใดที่นำฮอร์โมนเพศหญิงมารับประทาน และ
7. ผ่านการประเมินสภาพจิตใจโดยจิตแพทย์ว่าอยู่ในภาวะที่ปกติและพร้อมต่อการผ่าตัด
"แต่การผ่าตัดแปลงเพศนั้น แพทย์จะถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการรับรู้เพศ"
"นพ.กรีชาติ" กล่าวอีกว่า การผ่าตัดแปลงเพศถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะจะไม่สามารถกลับมาใน "เพศเดิม" ได้อีก ดังนั้นการศึกษาหาข้อมูลและเลือกปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ รวมถึงต้องทำในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด เพื่อความสมบูรณ์ตามเพศที่ต้องการ และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องใหม่ของเมืองไทย โดยเฉพาะการศัลยกรรมความงาม ทั้ง "กรีดตา เสริมดั้ง อัพไซส์...ฯลฯ" ที่จะว่าไปแล้วน่าจะเป็นที่รับรู้มาก่อนการผ่าตัดแปลงเพศด้วยซ้ำ หากแต่ ณ ปัจจุบัน สถานการณ์อาจ "เปลี่ยนไป" เพราะกลุ่มผู้ชายที่ "หล่อด้วยมีดหมอ" เริ่มมีมากขึ้น
"นพ.กรีชาติ" กล่าวว่า ผู้ที่มาทำศัลยกรรมความงามอย่างที่โรงพยาบาลยันฮี มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงและส่วนใหญ่จะเข้ามา "เสริมดั้ง-กรีดตา" โดยผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะมาทำศัลยกรรมจมูก ตา และ "อัพไซส์" เสริมหน้าอก ตามลำดับ ขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะเลือกทำจมูกกับตา แตกต่างจากสมัยก่อนที่ผู้ชายไม่ค่อยสนใจในเรื่องการทำศัลยกรรม แต่ปัจจุบันผู้ชายอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายก็เริ่มมาทำจมูกกันแล้ว
"วัยที่เหมาะแก่การทำศัลยกรรม" ถ้าเป็นผู้หญิง อายุ 16-17 ปี หรือเริ่มมีประจำเดือนก็ทำศัลยกรรมได้แล้ว ขณะที่ผู้ชายต้องอายุ 18-22 ปี ถึงจะเริ่มทำศัลยกรรมได้ เพราะกระดูกใบหน้าจะโตเต็มที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ถ้าทำตอนใบหน้ายังไม่โตเต็มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปทรง เป็น "อันตราย" ได้ ดังนั้นการจะทำศัลยกรรมควรให้กระดูกโตเต็มที่ก่อน
"ผู้ที่จะทำศัลยกรรมได้นั้นต้องมีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป ถ้าต่ำกว่านั้นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง แต่ก็ขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณของแพทย์ด้วย ถ้ายอมทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ยิ่งไม่สมควรทำ เพราะใบหน้ายังโตไม่เต็มที่ มีอันตราย" นพ.กรีชาติ กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์มีการค้นพบเทคนิคการผ่าตัดสมัยใหม่ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน บวกกับแพทย์ผ่าตัดที่มีประสบการณ์และความชำนาญโดยตรง ช่วยให้ความใฝ่ฝันของผู้ที่ต้องการ "สวย-หล่อด้วยมีดหมอ" ไม่ใช่เรื่องยาก รวมถึงสามารถ "แปลงเพศ" เปลี่ยนกาย ให้เป็นอย่างใจ ให้เป็นหญิง-เป็นชายได้ตามต้องการ เพียงแต่อาจต้องเลือกโรงพยาบาลที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไม่เช่นนั้นจากที่จะ "สวย-หล่อ" อาจกลายเป็น..."เละ"!!!