อุทาหรณ์!! สาววัย 21 ปี รับประทานสารสกัดหมามุ่ยอินเดีย เคราะห์ร้ายเสียชีวิตเพราะเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง แม่ลั่นฝากถึงนายก รัฐบาลควรมีมาตรการในการดูแลมาตรฐานของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
อุทาหรณ์!! สาวเมืองตรังแพ้สารสกัดหมามุ่ย กินไปแค่ 4 เม็ด หน้าบวมพุพอง-ผิวหนังลอก ดับอนาถ
นางสาวไอยอรอินท์ อดุลวิบูล ผู้เป็นแม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ฟังอย่างละเอียดว่า ก่อนหน้านี้ได้มีคนมาชักชวนตนเองและบุตรสาว ให้เข้าสมัครเป็นสมาชิกของธุรกิจขายตรงซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หมามุ่ยอินเดียสกัด กระทั่งเข้าฟังการอบรมและสมัครเป็นสมาชิก และได้รับยามารับประทาน คนละ 1 ชุด ประกอบไปด้วย สารสกัดจากหมามุ่ยอินเดีย แบบแคปซูล และผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมอกฟูรูฟิต ซึ่งก่อนที่จะได้รับผลิตภัณฑ์ก็ได้สอบถามกับตัวแทนจำหน่ายแล้วว่า จะมีผลข้างเคียงกับโรคลมชักหรือไม่ เนื่องจากจะให้ลูกสาวทาน แต่ลูกสาวเป็นโรคลมชักมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จึงสอบถามเพื่อความแน่ใจ แต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีผลข้างเคียง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงร่ายกาย กระทั่งรุ่งเช้า บุตรสาวและตนเองก็ได้รับประทานสารสกัดหมามุ่ยอินเดียไปคนละ 2 แคปซูลและตอนเที่ยงอีก 2 แคปซูล ต่อมาลูกสาวเริ่มมีอาการปากบวม ตาบวม ก็เข้าใจว่าลูกสาวคงจะนอนเยอะ แต่ก็ตกเย็นก็เริ่มเป็นมากขึ้น ปากเจ่อ มีผดขึ้น จึงพาไปหาหมอในตอนเย็น โดยหมอระบุว่ามีอาการแพ้ยา จึงให้นอนรอดูอาการที่โรงพยาบาล
ต่อมาเช้าวันพุธ หัวใจของน้องเต้นเร็วขึ้น มีผื่นขึ้นและเป็นตุ่มใส อาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ พอตกเย็นปากก็บวมและลิ้นมีเลือดออก มีตุ่มใสเป็นแผลพุพอง ขึ้นเต็มตามลำตัว ผิวหนังเริ่มดึงดำ และลอกออก โดยก่อนที่น้องมิลค์จะเสียชีวิตเพียง 1 วัน ตาของน้องเริ่มมองไม่เห็นเพราะเป็นหนองและลืมตาไม่ขึ้น ผิวหนังเริ่มหลุดลอกออก ซึ่งหมอก็บอกให้ครอบครัวทำใจ เพราะน้องมีอาการแพ้ โดยหมอระบุแพ้สมุนไพรอย่างรุนแรง กระทั่งในช่วงเย็นวันเสาร์น้องมิลค์ก็ได้เสียชีวิตลง ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัว
นางสาวไอยอรอินท์ อดุลวิบูล ผู้เป็นแม่กล่าวต่อไปว่า หลังน้องมิลค์ เสียชีวิต ได้ตัดสินใจนำร่างของน้องส่งไปผ่าพิสูจน์ ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เพื่อหาสาเหตุของการตายที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง กระทั้งเมื่อศพไปถึงก็ได้พูดคุยกันกับหมอ โดยหมอระบุว่า เคสของน้องมิคล์เป็นเคสที่ละเอียดอ่อนอยากวิเคราะห์วิจัยอย่างละเอียด เพราะเครื่องมือที่รพ.สงขลาก็ยังไม่ละเอียดเท่าโรงพยาบาลรามาธิบดี จึงแนะนำให้ส่งศพน้องมิลค์ไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ โดยตั้งใจว่าในเมื่อลูกสาวเสียชีวิตลงแล้ว เกี่ยวกับกรณีนี้ก็อยากให้เป็นวิทยาทานแก่ นักศึกษาแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการแพ้สารสกัดหมามุ่ยเพิ่งเกิดขึ้นเป็นกรณีแรก และขอเป็นกรณีศึกษา ในการตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดซึ่งหมอก็ได้เก็บเนื้อเยื้อที่จำเป็นไปแล้ว และแม่ก็ได้ยินยอมบริจาคดวงตาและอวัยวะต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ส่วนผลจากการผ่าพิสูจน์ นั้นต้องรออีกประมาณ 2 เดือน ถึงจะทราบแน่ชัด แต่ตอนนี้เบื้องต้น แม่ก็ทราบแน่ชัดแล้วว่าลูกสาวเสียชีวิตเพราะสาเหตุใด แต่ยังไม่อยากพูดอะไรมากรอผลออกมาก่อน เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
สำหรับ ทางบริษัทที่เป็นเจ้าผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายที่ชักชวนตนเองและลูกสาวให้กินอาหารเสริมตัวนี้เข้าไปนั้น ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบโดยการ จ่ายเงินในส่วนของการเดินทางนำศพไปชันสูตร ส่วนผลออกมาจะเป็นอย่างไรนั้นต้องรออีก 2 เดือนข้างหน้าแล้วมาสรุปกันว่าเป็นความผิดของใคร ไม่ขอปรักปรัมว่าเป็นความผิดของบริษัท หากลูกของตนแพ้สมุนไพรตัวนี้ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทไหนก็เหมือนกัน
นอกจากนี้ยังอยากฝากไปยังบริษัทต่างๆ ที่อ้างผลวิจัยและฝากเรียนไปถึงพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่านับต่อจากนี้ไปรัฐบาลควรมีมาตราการในด้านการดูแลมาตราฐานของบริษัทอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยให้ทุกบริษัทมีหน่วยแพทย์ไว้รองรับ ไม่ใช่โทรศัพท์คุยกันเฉยๆแล้วจบปัญหาที่เกิดขึ้น โดยบริษัทต้นสังกัดอ้างว่าจะมาดูเคสของน้องมิลค์ เพราะว่าเป็นเคสพิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้น จนถึงวันนี้แล้วก็ยังไม่มา
สำหรับศพน้องมิลค์จะทำพิธีฌาปนกิจในวันอาทิตย์ ที่ 19 มิย.นี้ ส่วนความคืบหน้าของคดีความกับบริษัท จะต้องรอผลผ่าพิสูจน์อย่างละเอียดจากโรงพยาบาลรามาอีกครั้ง ขอฝากเตือนไปยังพ่อแม่ผู้ปกครอง ให้เอากรณีของน้องมิลค์เป็นอุทาหรณ์สอนใจ และระมัดระวังในการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราวที่สะเทือนใจเหมือนกับตนเองที่ต้องมาสูญเสียลูกสาวก่อนวันอันควร