ชื่อเดิมชื่อ "ศิวพร เหลืองเรณูกุล" ชื่อเล่น อุ๋ย
วันที่ 21 ม.ค. 46 เปลี่ยนชื่อเป็น "ชิศา"
วันที่ 11 มี.ค. 46 เปลี่ยนจาก ชิศา กลับมาใช้ "ศิวพร" ตามเดิม
วันที่ 26 ต.ค. 49 เปลี่ยนชื่อและนามสกุลอีกครั้ง จาก "ศิวพร เหลืองเรณูกุล" เป็น "เปมิกา วีรชัชรักษิต"
ปี 2550 น.ส.เปมิกา และเพื่อนในกลุ่มตามรายชื่อเบื้องต้น ได้เดินทางมายัง สน.บางซื่อ อ้างว่าได้รับโทรศัพท์จาก "หมอเผ่า" ให้เข้าไปช่วยเหลือที่โรงพยาบาลศรีธัญญา โดยให้การว่า นพ.ประกิตเผ่า ถูกครอบครัวนำมากักขัง และสาเหตุที่หมอเผ่าถูกนำมากักเพราะเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าภรรยาตัวเองกระทั่งเรื่องราวบานปลายใหญ่โต เมื่อทางครอบครัวของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ออกมาตอบโต้กลับ
กลางเดือนมีนาคม 2550 ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก แม่และภรรยาของ นพ.ประกิตเผ่า ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนของกองปราบปราม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต หรือมีชื่อเดิมว่า น.ส.ศิวพร เหลืองเรณูกูล หรืออุ๋ย ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยอาศัยความอ่อนแอทางจิตของเจ้าของทรัพย์สิน
ทางครอบครัวของ นพ.ประกิตเผ่า รวมทั้ง นพ.ประกิตเผ่า เอง ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ โดยระบุว่า เมื่อช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2549-วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2550 น.ส.เปมิกา กับพวกอีก 5 คน ได้สมคบกันใช้อุบายหลอกลวง นพ.ประกิตเผ่า ให้หลงเชื่อว่า เปมิกา และเพื่อนอีก 3 คน สามารถนั่งสมาธิ จนเข้าฌานชั้นสูง สามารถระลึกชาติได้ ทำให้ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ มีอาการจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ อีกทั้งยังหลอกลวงทรัพย์สินของ นพ.ประกิตเผ่า ไปหลายรายการ รวมมูลค่านับสิบล้านบาท และได้มีการกล่าวอ้างว่า เมื่อชาติที่แล้ว นพ.ประกิตเผ่า เคยเป็นสามีภรรยากับ น.ส.เปมิกา ย้อนหลังไป 99 ภพชาติ โดยสิ่งใดที่ไม่เคยทำให้กับ น.ส.เปมิกา ในชาติก่อนหรือเคยรับปากไว้แล้วไม่ได้ทำก็ขอให้มาทำในชาตินี้
คำให้การยังระบุอีกด้วยว่า น.ส.เปมิกา ใช้อุบายล่อลวงให้ นพ.ประกิตเผ่า ซื้อรถเก๋งให้ น.ส.เปมิกา ด้วยการอ้างว่าชาติที่แล้ว นพ.ประกิตเผ่า เป็นขุนศึกใช้ม้านิลพยัคฆ์เป็นพาหนะในการรบ ส่วน น.ส.เปมิกา ใช้ม้านิลมังกร หลังจากนั้น นพ.ประกิตเผ่า จึงซื้อรถเก๋งให้กับ น.ส.เปมิกา และยังมีทรัพย์สินอื่นๆ อีกหลายรายการที่ น.ส.เปมิกา ได้ใช้กลอุบายลักษณะเดียวกันหลอกลวงให้ นพ.ประกิตเผ่า ซื้อหรือหามาให้ ซึ่งพฤติการณ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการฉ้อโกงทรัพย์สิน จึงต้องเข้าแจ้งความที่กองปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีดังกล่าว
ในปีเดียวกัน น.ส.เปมิกา พร้อมกับเพื่อนสนิททั้ง 3 ราย ได้เดินทางมายังกองปราบปรามเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาฐานร่วมกันฉ้อโกง ตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ในวันนั้น น.ส.เปมิกา เผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องคดี ตนเองขอให้การปฏิเสธ และขอไปให้การในชั้นศาล ส่วนเรื่อง นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ (หมอเผ่า) นั้น ก็รู้สึกเสียใจที่หมอเผ่าให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าพวกตนเองใช้จิตวิทยาหมู่เพื่อหลอกลวงให้หมอซื้อทรัพย์สิน ซื้อบ้าน ซื้อรถและทรัพย์สินอื่นๆ นับล้านบาทให้
นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาได้มอบหมายให้ทนายความยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ฐานละเมิดเรียกค่าเสียหายประมาณ 200 ล้านบาท จากการประพฤติตน โดยเปิดเผยในทำนองชู้สาวกับสามีของบุคคลอื่น เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเสียหายแก่ครอบครัวเป็นอย่างมาก
"การฟ้องร้อง 200 ล้านบาท เกิดจากความสูญเสียทั้งชื่อเสียง ตัวดิฉันเอง และ น.ส.เปมิกา ได้ประจานไปเยอะมาก ในเรื่องของสามี และชื่อเสียงของโรงเรียนที่คุณพ่อ คุณแม่สร้างมาตลอด 20-30 ปีต้องมาเสียหายภายในวันเดียว ที่สำคัญจิตใจของลูกๆ"
ต่อมา น.ส. เปมิกา ได้ให้ข่าวด้วยว่า ก่อนที่จะเป็นข่าวใหญ่โต นพ.ประกิตเผ่า ได้ขาดการติดต่อกับเธอไปนาน กระทั่งมาสืบทราบอีกทีว่า นพ.ประกิตเผ่า ถูกครอบครัวจับตัวไว้ในโรงพยาบาลศรีธัญญา ก่อนที่จะแอบเอาโทรศัพท์ โทรออกมาขอความช่วยเหลือจากตนเอง ซึ่งก็พยายามหาทางช่วยอย่างเต็มที่ กระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวโดนครอบครัว นพ.ประกิตเผ่า ฟ้องร้อง ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องข้อเท็จจริง พร้อมที่จะไปพิสูจน์กันในศาล เช่น ข้อความการให้สัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ และวิทยุโทรทัศน์ โดยเฉพาะเจตนาต้องการช่วยเหลือ นพ.ประกิตเผ่า ออกจาก รพ.ศรีธัญญา เพราะเห็นว่าถูกควบคุมไว้โดยไม่ชอบ
ส่วนกรณีทรัพย์สินของ น.ส.เปมิกา บางส่วน เช่น รถยนต์ เงินสด ที่ครอบครัวทมทิตชงค์ อ้างว่าเป็นของ นพ.ประกิตเผ่า นั้น น.ส.เปมิกา ก็ยืนยันว่า เป็นทรัพย์สินของตนเองที่มีอยู่แล้ว
ถือเป็นการต่อสู้คดีในชั้นศาลที่ยาวนานถึง 10 ปี ถึงวันนี้คดีเดินทางมาสู่ศาลชั้นฎีกา วันที่ 11 พ.ค. ศาลอาญา รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเมื่อถึงเวลานัด น.ส.เปมิกา จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่เดินทางมาศาล มีเพียงนายประกันเดินทางมาศาล โดยแถลงว่า ติดต่อ น.ส.เปมิกา ไม่ได้ เนื่องจากมีครอบครัวอยู่ต่างประเทศ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 กับ 2 จงใจหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา จึงให้ออกหมายจับจำเลย พร้อมสั่งปรับนายประกันตีราคา 1 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ได้มีการนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้ง ในวันที่ 28 มิ.ย.นี้