หมอประกิตเผ่า เปิดใจอาการป่วยทางจิตหายแล้ว

หมอประกิตเผ่า เปิดใจอาการป่วยทางจิตหายแล้ว


นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาแอพพลายฟิสิกส์ เดินทางมาที่ สถาบันกัลยาราชนครินทร์ เพื่อร่วมเสวนาหัวข้อ"การพิทักษ์สิทธิผู้ป่วยจิตเวช"ร่วมกับนพ.มล.สมชาย จักรพันธ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตและดร.กิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นส.สายสวรรค์ ขยันยิ่ง เป็นผู้ดำเนินรายการ ที่ห้องประชุมนายแพทย์สุรินทร์ ปิ่นรัตน์ ชั้น 4 ตึกอำนวยการ ในโอกาสงานครบรอบ 36 ปี สถาบันกัลยาราชนครินทร์

นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวคือพ่อ แม่ ภรรยาและน้องสาว นพ.ประกิตเผ่าได้กล่าวเริ่มต้นบรรยายพิเศษเกี่ยวกับการพิทักษ์สิทธิผู้ป่วย จิตเวชว่า โดยปกติแล้วผู้ที่มีปัญหาทางจิตหรือคนบ้าส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าตนเองเป็น คนบ้า ซึ่งไม่เหมือนโรคทั่วไป เช่น ปวดหัว เป็นไข้ ปวดท้อง ที่เจ้าตัวจะรู้สึกตัวเองว่าไม่สบาย เช่นเดียวกับตนเองที่ตอนป่วยก็ไม่ทราบว่าผิดปกติ พูดและคิดแปลก โดยมั่นใจในตัวเองว่าเป็นปกติ

จนกระทั่งพ่อแม่พี่น้องสังเกตเห็น จึงตัดสินใจนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลศรีธัญญา ทั้งนี้ ตั้งแต่ถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลศรีธัญญาก็จะรู้สึกตัวบ้างไม่รู้สึกตัวบ้าง แต่พอจำได้บ้างว่า เมื่อไปถึงก็รู้ตัวแค่ 20 นาที จากนั้นก็หลับไปและไม่รู้ตัวอีกเลย จากนั้นก็มีสติสัมปชัญญะขึ้นมาเป็นครั้งคราว เช่น พอจำได้ว่า ได้แสดงมวยไทยต่อสู้กับบุรุษพยาบาลหลายคน หรือตอนที่ศาลเผชิญสืบก็รู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามา จากนั้นมารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่มีการย้ายจากโรงพยาบาลศรีธัญญาไปรักษาที่ สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ โดยเจ้าหน้าที่บอกให้เข้าไปในรถ นพ.ประกิตเผ่ากล่าวต่อว่า เมื่อย้ายไปรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ในช่วงแรกมีอาการระแวงอาการภรรยาอยู่ เพราะเชื่อว่าถูกไสยศาสตร์ กลัวภรรยาจะทำร้าย ตอนภรรยาเข้ามาใกล้รู้สึกเหมือนเป็นภาพยักษ์ขมูขี แต่พอถึงต้นเดือนเมษายนอาการเริ่มดีขึ้น จากนั้นเมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดคือวันที่ 6เมษายน อาการก็ดีขึ้นและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อทราบข่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็รู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น

"ตอนที่ผมไปอำเภอเพื่อไปหย่ากับภรรยามีสติน้อยมาก ซึ่งถ้าเกิดสติดีๆ ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะหย่าร้างเลย เพราะรักภรรยามาก และครอบครัวมีความสุข มีความอบอุ่น ทั้งนี้ ระหว่างการรักษาก็ได้มีการบันทึกสิ่งที่คิด คือหมอให้บันทึกว่าคิดอะไรในแต่ละวัน ถูกหลอกลวงทรัพย์อะไรไปบ้างก็จดบันทึกเอาไว้ จากนั้นตอนเดือนพ.ค.แพทย์อนุญาตให้ทดสอบกลับมาอยู่บ้านว่าอย่ได้ไหม โดยให้ครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัด ก็กลับมาครั้งละ 1-2 วัน"

"สิทธิที่ใครจะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ผมมองว่า ควรจะเป็นครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นผู้ได้รับผล เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัว แต่ญาติจะเห็นความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ซึ่งเวลานี้แม่กับพี่ชายก็ถูกฟ้องกลายเป็นจำเลยสังคม ทั้งๆ ที่ครอบครัวไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย ในช่วงที่รักษาที่โรงพยาศรีธัญญา รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ซึ่งอาจไม่ใช่ความหละหลวมของโรงพยาบาล แต่เป็นเพราะผมน่าอุ้ม เพราะช่วงที่อยู่แรกๆ มีเจ้าหน้าที่ที่แต่งตัวท่อนเหมือนตำรวจมาอุ้มและพยาบาลพาออกไป ครั้งที่สองก็เป็นคนชุดขาว 4-5 คนอุ้มออกไป"นพ.ประกิตเผ่า กล่าวว่า สำหรับเรื่องการรักษาผู้ป่วยจิตเวช สิ่งสำคัญคือเรื่องคุณภาพในการรักษาและค่าใช้จ่าย เพราะมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งตนเองต้องใช้เงินในการรักษาตกอยู่ที่ประมาณวันละ 1,000 พันบาท หรือเดือนหนึ่งเกือบ 30,000 บาท ก็เป็นราคาที่แพงมาก ถ้าคนที่ไม่มีเงินก็รักษาลำบาก เช่นเดียวกับการรักษาที่มีคุณภาพที่ช่วยรักษาอาการให้หายได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้มีการรักษาสิทธิของผู้ป่วยในการรักษาด้วย ซึ่งครั้งนี้ครอบครัวได้มอบเงินให้มูลนิธิกัลยาณ์ราชนครินทร์ 50,000 บาทและคอมพิวเตอร์อีก 1 เครื่อง "ตอนที่อยู่โรงพยาบาลไม่มีกิจกรรมอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็กินกับนอน นอกนั้นก็มีจ็อกกิ้งบ้าง ไม่มีหนังสือ ไม่มีทีวี พอหกโมงเย็นก็สวดมนต์นอน ส่วนเพื่อนผู้ป่วยก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทุกคนน่ารัก ยกเว้นที่มีการอาละวาด ก็จะมีการแยกผู้ป่วย ผมเองต้องกินยาวันละ 23 เม็ด เช้า 12 เย็น 11 เม็ด ช่วงแรกหมอก็จะอัดยาให้เต็มที่ ออกจากโรงพยาบยาลก็ลดยาเหลือ 1 ใน 3 และกินยาต่อเนื่องไปอีก 2 ปี"

เมื่อถามว่าวิธีการรักษาเป็นอย่างไร นพ.ประกิตเผ่าบอกว่า ใช้จิตวิทยาบำบัด โดยแพทย์จะพูดคุยกับคนไข้ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการใช้ยา เนื่องจากจะได้เห็นปมของปัญหาที่แท้จริง การที่เคยมีข่าวบอกว่า มีการฉีดยาเพื่อให้บ้าเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ นพ.ประกิตเผ่ายังได้ออกแถลงการณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 6 ข้อ โดยสาระสำคัญคือ ยอมรับว่าตนเองป่วยด้วยอาการอารมณ์แปรปรวน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้จิตวิทยาหมู่ โดยมีลักษณะเช่นมีคน 5 คนนัดกันไว้ล่วงหน้าว่าจะพูดเช่นนั้น ทำอย่างนี้ ส่วนอีกคนไม่รู้เรื่อง แล้วกระทำอย่างนี้ซ้ำเพื่อชักจูงให้หลงเชื่อ ทำให้เกิดอาการหลงผิด ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นช่วงตุลาคม 49 ขณะเดียวกันก็ยอมรับก่อนหน้านี้ตนเองเป็นคนที่ชอบนั่งสมาธิ สวดมนต์เป็นชั่วโมงๆ "หลายคนถามว่า เป็นไปได้อย่างไรที่อายุมากแล้ว แล้วก็เป็นหมอด้วยทำไมถึงถูกหลอกได้ง่ายนัก ผมก็ต้องตอบว่า คนเรา ถ้าเจอจิตวิทยาหมู่ติดต่อกัน 5 เดือน และใช้วิธีการหลายๆ อย่าง ใครก็เป๋ได้ สำหรับการนั่งสมาธินั้น ผมแนะนำให้ได้ผลจะต้องนั่งตัวต่อตัว ตรวจสอบอารมณ์ว่ามีความหลงหรือยัง เพราะถ้าเกิดฝึกไปในระดับหนึ่งจะเห็นภาพได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยิน ก็ต้องไม่ยึดติดและผ่านไป แต่ผมยึดติดเพราะมีความสุขมันก็เลยหลุดไป"

"ผมยืนยันอีกครั้งว่ารักลูกและเมียมาก ไม่เคยคิดนอกใจภรรยา ซึ่งได้ตกลงกันไว้ก่อนแต่งงานช่วงที่ไปขอหย่าเป็นเพราะมีร่างทรงบอกให้หย่า ถ้าไม่หย่าจะทำให้ครอบครัวทรงมีปัญหา แล้วช่วงนั้นผมอาการหนักแล้ว จะมีอาการหูแว่ว จะเห็นเลือดออกจากร่างทรงทางหู จมูก ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่นตอนที่หลงไปมีการนอกใจหรือไม่ ทั้งหมดอยู่ในสำนวนคดีหมดแล้วช่วงเวลาที่ไม่สบายมีจดหมายและโทรศัพท์มาคุย ตลอด เยอะมาก บางคนก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็แสดงความเห็นใจว่า ครอบคัวถูกกระทำ ส่งดอกไม้มาเยี่ยม ให้กำลังใจ เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนเด็กๆ นักเรียนมักจะถามว่า เมือ่ไหร่จะกลับมาสอน ซึ่งตนเองคาดว่า น่าจะกลับไปสอนเดือนกรกฎาคมนี้ ผมมั่นใจว่าหายเป็นปกติ เพราะโรคทางจิตเวชหายได้ ขออย่าให้รังเกียจหรือว่ากีดกันไม่รับเข้าไปทำงาน ผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า คนที่มีการป่วยทางจิตก็สามารถหายและกลับไปทำงานได้"

เมื่อถามเรื่องผลประโยชน์ของสถาบัน แอพพลายด์ฟิสิกส์ นพ.ประกิตกล่าวว่า ครอบครัวรักกันมาก พี่น้อง 4 คนมีอาชีพเป็นของตัวเอง โดยทุกคนเป็นหมอทั้งหมด ซึ่งทุกคนมีสติปัยญาที่จะทำมาหากินเองได้ ส่วนการทำงานของสถาบันก็เป็นลักษณะของกงสี สถาบันไม่ใช่เป็นของตนคนเดียว โดยพ่อกับแม่ก็จะเป็นคนที่คอยควบคุมดูแลทั้งหมด ทั้งนี้ที่ผ่านมา มีเด็กมาเรียนประมาณ 5 หมื่นคนต่อปี เด็กที่เรียนราคาต่อคอร์สถูกที่สุด 750 แพงที่สุด 4,000 บาท ส่วนช่วงที่มีปัญหายังไม่ทราบว่าเด็กจะลดลงไปหรือไม่ แต่ถ้ามีผลกระทบก็จะต้องยอมรับ "ในส่วนของคดีความจะไม่มีการเจรจายอมความ จะให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุดส่วนที่จะต้องไปเป็นพยานให้ทั้งโจทย์และจำเลย ข่าวนี้ยังงงอยู่ แต่หากมีหมายศาลก็ต้องไป เงินที่หายไปจากธนาคาร 25 ล้าน ช่วงนั้นไม่รู้สึกตัว ไม่รู้เรื่อง แต่เป็นเงินที่เกี่ยวกับคดี 10 กว่าล้าน บทเรียนที่ได้จากครั้งนี้เป็นเรื่องของการคบคน หากคบบัณฑิตย่อมพาไปหาผล ความผิดพลาดทั้งหมดนอกจากเรื่องเวรกรรมแล้ว คงเป็นเพราะเรื่องของการเลือกคบคนผิด ต้องดำเนินการให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ไปกระทำกับคนอื่นอีก" นพ.ประกิตเผ่า กล่าว


หมอประกิตเผ่า เปิดใจอาการป่วยทางจิตหายแล้ว


ขอบคุณ oknation

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์