17 มี.ค. นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ได้พา นายอุดม ศิริสอน อายุ 53 ปี และนางแดง ศิริสอน สองสามีภรรยา ชาวกาฬสินธุ์ จำเลยในคดีบุกรุกแผ้วถางป่าไม้ ยึดถือ ครอบครอง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำให้เสื่อมเสียสภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาต , ทำไม้หวงห้ามและมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูป โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ภายหลังเข้าไปเก็บเห็ดในเขตป่าสงวนแห่งชาติ บ้านหนองกุงไทย หมู่ 6 ต.โนนสะอาด อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 เข้าพบ ร.ต.อ.มานพ เดื่อมทั้น รองสารวัตร (สอบสวน) กก.3 บก.ป.เพื่อลงบันทึกประจำไว้เป็นหลักฐานกรณีที่ทั้งสองถูกเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวข่มขู่คุกคาม และเข้าติดตามความคืบหน้าคดีที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2557 เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ 72 ไร่ ในป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว
กรณีที่เกิดขึ้นนั้นสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 นายอุดม และนางแดง เป็นเพียงชาวบ้านที่เข้าไปเก็บเห็ดในพื้นที่ป่าดังกล่าวและได้จอดจักรยานยนต์ทิ้งไว้ในพื้นที่ด้วย ต่อมาเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ยกรถคันดังกล่าวไปตรวจสอบทะเบียนจนทราบว่ามีนายอุดม เป็นผู้ครอบครอง จึงตั้งข้อกล่าวหาทั้งสอง ว่าบุกรุกและตัดไม้ในพื้นที่ป่าแห่งนี้รวม 72 ไร่ โดยมีตอไม้ถึง 700 ตอ และมีการแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สภ.ยางตลาด แต่ระบุว่าทั้งสองได้บุกรุกป่าเข้าไปกระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 12-19 กรกฎาคม 2553 รวม 8 วัน คดีนี้ได้มีการส่งฟ้องถึงชั้นศาล จนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นสั่งจำคุกจำเลย 30 ปี จำเลยรับสารภาพ ศาลจึงพิจารณาลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 ปี ต่อมาศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ก่อนที่จะมีการยื่นฎีกา และมีการขอความช่วยเหลือกับทางเครือข่ายฯ เนื่องจากนายอุดม จำเลยในคดีนี้ เข้าใจว่าถูกจับกุมในกรณีที่เข้าไปเก็บเห็ด ประกอบกับเป็นคนหูตึง อ่านหนังสือไม่ออก จึงจำต้องรับสารภาพในคดีจนถูกศาลพิพากษาลงโทษ
นายสงกานต์ กล่าวต่อว่า หลังจากได้รับเรื่องร้องทุกข์จึงมีการช่วยเหลือด้วยการขอพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย และมีคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้ใหม่ทั้งหมด จนปรากฎข้อเท็จจริงปรากฏว่าจักรยานยนต์ของจำเลยในป่าดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 แต่เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาตั้งแต่วันที่ 12-19 กรกฎาคม เป็นการตั้งข้อหาล่วงหน้า แค่มีหลักฐานเพียงจักรยานยนต์ที่จอดทิ้งไว้เท่านั้น รวมทั้งจากสถานะของจำเลยก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดไม้กันตามลำพัง 2 คน ในพื้นที่ 72 ไร่ นอกจากนี้ในรายละเอียดต่างๆ ก็ชี้ชัดว่าหลังจากมีการร้องขอให้ไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีนี้ จำเลยทั้งสองก็ถูกข่มขู่คุกคามจนต้องมีการแจ้งความดำเนินคดี
นายสงกานต์ กล่าวอีกว่า การที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงมาขอชี้แจงกับทางจำเลยอย่างละมุนละม่อมในกรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ อยากจะชี้แจงว่ามันเลยขั้นตอนนั้นไปแล้ว นอกจากนี้เมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ก็มีตำรวจท้องที่เกิดเหตุพยายามจะเข้ามาหาจำเลยทั้งสอง โดยระบุว่า ผบก.ภ.จ.กาฬสินธุ์ จะให้แกไปรับของขวัญเพราะสงสารทั้งสองอย่างมาก แต่ก็ปฎิเสธไป ระหว่างนั้นทางตำรวจก็มีการค้นรถโดยไม่มีหมายศาล เรื่องนี้ตนได้รายงานต่อศาลและสำนักงานคุมประพฤติได้ทราบไปแล้ว รวมทั้งได้พาจำเลยทั้งสอง ไปพบทางอธิบดีกรมคุ้มครองพยาน เนื่องจากทั้งสองได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าตัดไม้ในเขตป่าสงวนดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว
ด้าน ร.ต.อ.มานพ กล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบปากคำผู้ร้องและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ดี ในส่วนของคดีเดิมที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกป่าพื้นที่ดังกล่าวรวม 72 ไร่นั้น ขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้ว