คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ออกตรวจท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงระแนง ซึ่งพบกลุ่มบุคคลประมาณ 3-4 คน กำลังร่วมกันตัดไม้ และพบไม้สักถูกตัดโค่นล้มลงจำนวนมาก จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ ซึ่งเมื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ต่างพาหลบหนีไป แต่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อไทยเกอร์ สีแดงดำ ทะเบียน กยท. 331 กาฬสินธุ์ จอดอยู่ในที่เกิดเหตุ จึงยึดไว้ตรวจสอบ พร้อมกับเข้าตรวจสอบพื้นที่ พบว่าป่าสงวนแห่งชาติถูกบุกรุกแผ้วถางรวมเนื้อที่ 72 ไร่ ตรวจยึดไม้สักและไม้กระยาเลยท่อนที่ถูกตัดโค่นลงจำนวน 1,148 ท่อน ปริมาตร 65.69 ลูกบาศก์เมตร จึงได้ร่วมกันตรวจยึดของกลาง พร้อมกับเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งมี พ.ต.ท.เทพบดินทร์ ทรงหอม พนักงานสอบสวนสภ.ยางตลาด เป็นเจ้าของคดี ซึ่งได้เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว
เจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานและเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจ โดยมีฝ่ายอ.ยางตลาดสมัยนั้นเป็นหัวหน้าชุดสอบสวน กระทั่งตำรวจ ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบติดตามตัวเจ้าของรถจักรยานยนต์และพบว่ามีนายอุดม ศิริสอน อายุ 51 ปี และนางแดง ศิริสอน อายุ 48 ปี สองสามีภรรยาเป็นเจ้าของรถ และได้มีการสรุปสำนวนส่งให้กับอัยการฟ้อง โดยมีเพียงพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจคือ พ.ต.ท.เทพบดินทร์ฯ ปลัดอำเภอ และนายอำเภอสมัยนั้นลงชื่อในสำนวนสอบสวน ไม่ได้ผ่านมายังผกก.หรือสำนักงานตำรวจภูธรจังหวัด กระทั่งศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 30 ปี แต่ทั้งสองคนรับสารภาพ จึงลดโทษลงครึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 15 ปี โดยทั้งสองเห็นว่าโทษยังหนักอยู่จึงมีการยื่นต่อศาลอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุก 15 ปี ต่อมามีการยื่นต่อศาลฎีกา และปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินของศาลฎีกา ทั้งนี้ทางเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ได้เข้าให้การช่วยเหลือและได้รับการปล่อยตัวออกมาชั่วคราว
คดีนี้เกิดขึ้นมากว่า 5 ปีแล้ว ซึ่งตนและเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ยางตลาดเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง อย่างไรก็ตามหากผลการตัดสินของศาลฎีกาออกมาเป็นอย่างไร และหากสอง-ตายายมองว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เริ่มต้น ตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์และตำรวจสภ.ยางตลาดเจ้าของพื้นที่ก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือ หากทั้งสองประสานขอความช่วยเหลือมา ซึ่งอาจจะมีการเข้าไปสืบเสาะแสวงหาหลักฐานพยาน หรือรื้อคดีทำใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่ปัจจุบันจากการประสานของตำรวจสองตา-ยายแต่ยังคงหวาดระแวงการทำงานของเจ้าหน้าที่และไม่ยอมให้พบ พร้อมกับบอกว่าให้คุยผ่านทนายอย่างเดียว ดังนั้นตนขอยืนยันว่าตำรวจกาฬสินธุ์มีความหวังดีพร้อมที่จะเข้าให้การช่วยเหลือไม่ได้มีเจตนาอื่น