ล่าสุด 28 ม.ค. สำนักข่าวดัง อิศรา ได้ตรวจสอบไปยัง ทันตแพทย์ เผด็จ พูลวิทยกิจ ทันตแพทย์ที่โพสต์เรื่องลงเฟซบุ๊ก โดย ทพ.เผด็จ ระบุว่า ตนตั้งใจโพสต์เรื่องราวเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับคนที่คิดจะเซ็นค้ำประกันอะไรให้กับใคร ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อน มิเช่นนั้นอาจเกิดกรณีแบบตนก็เป็นได้ ซึ่งกรณีนี้น่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในวงการแพทย์มหิดลอีกด้วย หลังจากที่โพสต์ไป ตนรู้สึกสบายใจมาก เพราะได้ชดใช้หนี้หมดแล้วซึ่งไม่ได้คิดว่าจะใส่ร้ายใคร แต่พอโพสต์ไปแล้วก็มีคนบอกให้เปิดโพสต์เป็นสาธารณะ เพื่อที่คนอื่นจะได้มาเห็น และคู่กรณีจะได้มาเห็นว่าตนรู้สึกอย่างไร และเดือดร้อนมากแค่ไหน
ทพ.เผด็จ ได้เล่าว่า รู้จักกับอาจารย์สาวรายดังกล่าวเป็นการส่วนตัว แต่รู้จักกับอาจารย์ของอาจารย์สาวรายดังกล่าวอีกที ซึ่งเขาขอให้ตนช่วย และเราก็เห็นตรงกันว่าหากอาจารย์สาวรายดังกล่าวเรียนจบ ก็จะได้กลับมาทำงานรับใช้ประเทศของเรา ตนจึงยอมเซ็นค้ำประกัน ซึ่งผู้ที่เซ็นค้ำประกันก็มี อาจารย์ของอาจารย์ดังกล่าว 2 คน และเพื่อนอีกคนหนึ่ง และหลังจากที่อาจารย์สาวหนีทุน ไม่กลับมา ตนและผู้ค้ำประกันรายอื่น ๆ ก็ต้องร่วมกันชดใช้หนี้ ตอนแรกต้องชดใช้เป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาท แต่ได้ไปทำเรื่องขอต่อรอง ก็เหลือจ่ายเงินต้นไม่รวมค่าปรับอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท กระทั่งชดใช้เรื่อยมาจนหมด ตนก็เอามาโพสต์ในเฟซบุ๊ก เพราะถือว่าหมดหนี้เวรหนี้กรรมแล้ว
ตนเคยคุยโทรศัพท์กับอาจารย์สาวรายดังกล่าว โดยได้บอกว่าจะไม่ทำให้ตนเดือดร้อน แต่ก็ไม่รู้ทำไมตนถึงยังเดือดร้อนอยู่ ส่วนเหตุผลที่เขาไม่กลับมาประเทศไทยนั้น เพราะว่าเขาแต่งงานกับชาวต่างชาติ มีลูก 1 คน และบอกว่ารับไม่ได้ที่ระบบขอทุนประเทศเราเอาเปรียบ ให้ชดใช้เงิน 3 เท่า แต่ตนก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ในเมื่อเขาตัดสินใจขอทุนไปแล้ว ก็ต้องรู้ว่าเงื่อนไขเป็นอย่างไร ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องไป ซึ่งตนคิดว่าการมาบอกว่ารับไม่ได้นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ตั้งแต่เกิดเรื่องอาจารย์สาวรายดังกล่าวก็เคยส่งเงินมาให้ แต่มันน้อยมาก และล่าสุดก็บอกว่าจะไม่จ่ายแล้ว และไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขาอีก ซึ่งเขาไม่รู้เลยหรือว่าตนเดือดร้อนแค่ไหน เพราะตนมีลูก 2 คน ลูกบุญธรรมอีก 2 คน รวมเป็น 4 คน
ทพ. เผด็จ กล่าวอีกว่า ที่ตนโพสต์ในเฟซบุ๊กนั้น ที่อาจารย์สาวจะตั้งทนายขึ้นมาสู้ คิดว่าคงสู้ไม่ไหว เพราะต้องบินไปกลับเมืองนอก ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายตามมา ตนจึงคิดว่าจะไม่ทำอะไรแล้ว ปล่อยให้ผ่านไป จะเป็นบทเรียนว่าอยากไปหลงเชื่อใครง่ายๆ แม้กระทั้งคนที่มีการศึกษาดี หรือมีจากครอบครัวที่ดีขนาดไหนก็ตาม ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก็มีจดหมายตอบกลับมาว่า เรื่องนี้เป็นส่วนส่วนตัว