ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
ผมรู้สึกเห็นใจ ระคนสงสาร ในความตื้นเขินของท่าทีและมุมมองของนายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย
มุมมองและท่าทีของท่านทูตคนนี้ ต่อกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของราชอาณาจักรไทย ส่อสะท้อนความไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจรากเหง้าและปูมหลังของราชอาณาจักรไทย ไม่พยายามเข้าใจความแตกต่าง ความเป็นจริงในประเทศที่ตนเองเข้าไปพำนักอยู่ หรือถ้าเข้าใจ ก็อาจจะไม่จริงใจ จึงได้แสดงออกถึงการไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติ หรือเสียมารยาทการทูตอย่างหยาบคายได้ถึงเพียงนี้
1) พระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน เจริญพระชนมายุ 88 พรรษาในสัปดาห์หน้านี้ ทรงครองราชย์มา 69 พรรษา บำเพ็ญพระราชกรณียกิจหนักหน่วงยาวนาน เมื่อครั้งพระองค์ยังไม่ทรงพระประชวร ทรงเสด็จไปยังชนบทห่างไกล ปัดเป่าทุกข์ร้อนของราษฎรไทยโดยตลอด ทรงนำพาประเทศชาติผ่านวิกฤตินับครั้งไม่ถ้วน ทั้งภัยจากต่างประเทศ และปัญหาความขัดแย้งในประเทศ
ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติอย่างแท้จริง
นายกลิน เดวีส์ เพิ่งจะเข้ามารับหน้าที่ในราชอาณาจักรไทยไม่กี่วัน แต่กลับออกพูดก้าวก่าย ในเชิงให้ร้ายการบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 แบบเหมารวม ในห้วงเวลาก่อนวันสำคัญไม่กี่วันเช่นนี้ มันจึงเป็นเรื่องของการไม่รู้กาลเทศะ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง และในสังคมไทยจัดว่ามารยาททรามอย่างยิ่ง
น่าสงสารนายกลิน เดวี่ส์ ที่ไม่เข้าใจความแตกต่างในรากฐานสังคม ระหว่างไทยกับสหรัฐ
สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย กับตัวบุคคลมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้
พระมหากษัตริย์ของไทยพระองค์นี้ ทรงครองราชย์มา 69 พรรษา ยาวนานที่สุดในโลก บำเพ็ญคุณงามความดี สะสมพระบารมีอย่างที่สุด เมื่อทรงเป็นศูนย์รวมศรัทธาของคนไทย หากมีอะไรมากระทบ ไม่ว่าจะบวกหรือลบ ก็จะส่งผลแผ่สะท้อนไพศาล
ถ้ากระทบบวก ผู้คนก็ชื่นชม อิ่มเอม สุขใจถ้วนหน้า
ถ้ากระทบลบ ผู้คนอื่นก็ร้อนรุ่ม โกรธแค้น พร้อมลุกกระพือ ดังเช่นการกระทำของนายกลิน เดวี่ส์ ครั้งนี้ ได้ทำให้คนไทยรู้สึกร้อนรุ่ม บางส่วนทนไม่ไหว ไปแสดงออกถึงการประท้วง คัดค้าน ประณาม หรือแม้แต่ขับไล่ อยู่ที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
นายกลินคงจะไม่เข้าใจ... รากฐานของประเทศไทย แตกต่างจากสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเกิดใหม่ 200 กว่าปีเท่านั้นเอง เกิดจากคนโยกย้ายถิ่นฐานจากหลายประเทศ หลายเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เดินทางเข้าไปบุกเบิกแดนเถื่อน จึงได้ผู้กล้า นักต่อสู้ พฤติกรรมก้าวร้าว ไปรวมตัวอยู่ ต่อสู้เข่นฆ่าเจ้าของแผ่นดินเดิมคือชาวอินเดียนแดง เกือบจะเรียกได้ว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยึดครองแผ่นดินของเขา จัดตั้งประเทศ ประกาศเขตอำนาจ สร้างอุดมการณ์เสรีนิยม คนอเมริกันจึงมีพื้นฐานค่านิยมเกี่ยวกับการใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหามาจนถึงทุกวันนี้ นิยมให้คนพกอาวุธ มีปืนเกลื่อนเมือง เกิดเหตุใช้ปืนกราดยิงฆ่ากันตายในสถานที่ต่างๆ มาโดยตลอด ทั้งในมหาวิทยาลัย โรงหนัง ฯลฯ แถมประเทศสหรัฐยังเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก แสวงหาผลประโยชน์จากการค้าขายอาวุธในสงครามต่างๆ มาโดยตลอด
คงยากที่ทูตสหรัฐคนนี้จะเข้าใจรากฐานทางสังคมวัฒนธรรม วีถีชีวิต วิถีความคิดของคนไทยที่ละเอียดอ่อน ไม่เหมือนทูตอย่างอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก ที่เขามีรากทางวัฒนธรรมหยั่งลึกกว่าสหรัฐอเมริกา
2) องค์พระประมุขของประเทศไทย มาจากรากลึกในทางประวัติศาสตร์ เป็นพระราชวงศ์นักรบ ผู้นำกอบกู้เอกราชของชาติ ปกปักรักษาแผ่นดินไทย ทรงเป็นนักปกครอง สืบสันตติวงศ์ตามกฎระเบียบ และจารีตโบราณราชประเพณี มีความต่อเนื่อง สะสมความดีจนเกิดพระบารมีแผ่ไพศาล
ประมุขของสหรัฐอเมริกา มาจากความพอใจของคนทั่วไปในช่วง 4 ปี เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ก็มีข้อดี ทำให้ได้คนผิวดำขึ้นมาเป็นประมุข ตามสมัยนิยม ตามแบบอเมริกัน ไม่มีความผูกพันลึกซึ่งในทางประวัติศาสตร์ ซึ่งประเทศอื่นใดก็ไม่อาจไปก้าวก่าย และเราก็ไม่เคยไปก้าวก่าย เพราะเรามีมารยาทไทย
3) ราชอาณาจักรไทย เป็นประเทศเล็กกว่าสหรัฐอเมริกา หลายสิบเท่า
ยากจนกว่าสหรัฐอเมริกาหลายเท่า
ผู้นำสหรัฐอเมริกามักคิดว่า ตนเองคือผู้เหนือกว่า คือปกครองโลก เป็นโลกบาล
จึงนำเอาค่านิยมส่วนตัว มาตรฐานความถูกต้องดีงามของตน เอาไปยัดเยียดให้คนอื่นต้องยึดถือและทำตาม
ยิ่งมาเห็นประเทศไทยเล็ก จนกว่า ยิ่งคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ จะยัดเยียด จะชี้นิ้วสั่งการได้ทุกอย่าง
หรือแม้แต่พยายามจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ไปเป็นประเทศแบบที่สหรัฐอเมริกาต้องการ หรือให้สมประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา
4) เอกอัครราชทูตสหรัฐควรต้องใส่ใจด้วยว่า พระมหากษัตริย์ในระบบของไทย ไม่อยู่ในฐานะจะไปฟ้องร้องบุคคลที่มาดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายได้ด้วยพระองค์เอง
แตกต่างจากคนอเมริกัน รากฐานวัฒนธรรมต่างกัน
สถานะขององค์พระมหากษัตริย์ จะไปแจ้งความดำเนินคดี แต่งตั้งทนายดำเนินการทางกฎหมายเอาผิดผู้ใดด้วยพระองค์เอง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ในบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย
กฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ในเรื่องการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ซึ่ง 3 อย่างนี้ กฎหมายอาญาทั่วไปของไทยก็ช่วยคุ้มครองทุกคน แม้แต่คนอเมริกัน ทูตอเมริกัน ประมุขของอเมริกา ก็ได้รับการคุ้มครองในไทยเช่นกัน
เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นศูนย์รวมใจของคนไทย ใครทำอะไรกระทบสถาบัน จึงกระทบสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยหลักการนี้ กฎหมายจึงถือเป็นความมั่นคง เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดส่วนบุคคล ใครก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้หากพบว่ามีการกระทำผิด ส่วนผู้ถูกแจ้งความดำเนินคดีก็สามารถต่อสู้ในชั้นศาลยุติธรรม
5) การที่นายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย แสดงความคิดเห็นที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2558 ระบุว่า การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร อ้างว่ามีการกำหนดบทลงโทษรุนแรงยาวนาน แล้วยังอ้างถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสรเสรีว่า "เราเชื่อว่าไม่ควรมีใครควรถูกจำคุกต่อการแสดงมุมมองอย่างสันติ"
การกล่าวเช่นนี้ หากออกจากคนทั่วไปก็นับเป็นวาจาสามหาว แต่เมื่อออกจากปากของคนที่มีตำแหน่งเอกอัคราชทูตชาติมหาอำนาจ ก็สะท้อนถึงความหยิ่งผยองพองขน ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมประเทศไทย โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนไทยเจ้าของประเทศ
เป็นการพูดที่ดูเสมือนกล่าวหา ว่ารัฐบาลรัฐประหารทำการไล่ล่าดำเนินคดีเกินเหตุ จึงได้มีคดีมาตรา 112 เยอะขึ้น ทั้งๆ ที่ นายกลินควรจะกลับไปดูข้อเท็จจริงของคดี ว่าคดีเหล่านี้มันมีจุดเริ่มต้นมาก่อนแล้วมากน้อยแค่ไหน มิใช่เพิ่งมาเกิดในสมัยรัฐบาลปัจจุบัน ไม่ว่าจะคดีที่เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างสถาบันไปหมาผลประโยชน์ คดีดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายสถาบันเบื้องสูง พฤติการณ์ร้ายแรงอย่างไร กระทำการด้วยการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ปราศรัยบนเวที ทั้งๆ ที่ มีกฎหมายอาญาบัญญัติห้ามไว้ชัดเจนตั้งแต่ไหนแต่ไร
กฎหมายมีมาก่อนแล้ว และพฤติการณ์หลายอย่างก็เริ่มทำมาก่อนจะมีรัฐบาลปัจจุบัน แต่ยุครัฐบาลระบอบทักษิณละเว้น ไม่ดำเนินการ ฝ่ายการเมืองบางส่วนอาจจะให้ท้ายด้วยซ้ำ การทำผิดกฎหมายจึงเหิมเกริม กำเริบเสิบสาน เมื่อรัฐบาลยุคนี้ทำตามกฎหมาย บังคับใช้กฎหมาย การกระทำผิดที่เกิดมาก่อนและยังทำต่อเนื่องอยู่ก็ถูกจัดการ นำคดีไปขึ้นศาล และที่ผ่านมา ก็มีทั้งคดีที่ศาลยุติธรรมพิพากษาลงโทษ และพิพากษายกฟ้อง โดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่ฝ่ายจำเลย
รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ตัดสินความผิด-ถูกเอง เพียงแต่บังคับใช้กฎหมาย ส่งศาล สอดคล้องกับที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า ตนเองเป็นจั่นเจา หวังเฉา หม่าฮั่น มิใช่เปาบุ้นจิ้นที่ตัดสินโทษใคร
แต่คำพูดของทูตสหรัฐกลับสะท้อนอคติ เป็นการใส่แว่นสีมองประเทศไทย
6) นายกลิน มาเป็นเอกอัครราทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับตัวแทนประเทศ ควรสำเหนียกว่า เรื่องค่านิยม อะไรถูก-ผิด มันขึ้นอยู่กับบริบทของสังคม เปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ไม่มีอะไรตายตัว ยกตัวอย่าง
ในสหรัฐอเมริกา มีค่านิยมต่อเรื่องอาวุธ เพราะเคยใช้อาวุธฆ่าอินเดียแดงเอาแผ่นดินมาตั้งประเทศ ให้คนอเมริกันซื้ออาวุธได้อย่างเสรี เกิดการใช้ปืนยิงกันตายมาก ทั้งตามโรงเรียน โรงหนัง สถานที่สาธารณะ ใช้อาวุธมากทั้งในและนอกประเทศ แต่ถ้ามองในมุมมาเลเซีย อาจจะมองว่าการยอมรับเรื่องอาวุธเช่นนี้เป็นความป่าเถื่อน เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ห้ามมีอาวุธปืนในครอบครอง กฎหมายลงโทษรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต
ในสหรัฐอเมริกา เคยมีการฆ่าคนพื้นเมืองอินเดียนแดงจำนวนมาก อ้างจำเป็น แต่ถ้ามองจากประเทศไทยจะเห็นว่า ในไทยเราก็มีคนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา เช่น จีน ลาว ญวน ฝรั่งต่างชาติ ฯลฯ แต่ไทยก็ไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมเหมือนอเมริกันกับอินเดียนแดง ไม่มีการไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนพื้นเมือง คนไทยก็เช่นกัน กลับมีการหล่อหลอมทางวัฒนธรรม ผสมกลมกลืนอยู่ร่วม
7) พึงตระหนักว่า เอกอัครราชทูต คือตัวแทนประเทศ เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี มิใช่เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงกิจการภายในประเทศ หรือริอ่านก่อการเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองสังคมอื่นให้เป็นอย่างตน
ไม่มีทูตประเทศไทยคนไหนไปก้าวก่ายประเทศอื่น ไม่ว่าจะประเทศใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า
ถึงขนาดเดินสาย ยอมตนเป็นเครื่องมือกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในประเทศไทย พูดจาบีบบังคับประเทศไทย กระแทกกระทั้น เสียดสี ทั้งการเลือกตั้ง การเมืองในประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ขณะเดียวกัน บนความแตกแยกของคนในประเทศไทย ก็หวังประโยชน์ สนับสนุนกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มให้ครอบครองปกครองประเทศไทย เพื่อสนองตอบผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ใช่หรือไม่?
8) สิ่งที่สะท้อนจากพฤติกรรมและท่าทีของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย 2 คนล่าสุด จะเห็นว่า เป็นการดำเนินการทางการทูตที่ไร้เดียงสาทางการทูต
น่าสงสารในความตื้นเขิน น่าสงสารในความหยิ่งยะโส ทำจองหองขนพอง คิดว่าตนเองใหญ่
ขณะนี้ คนไทยกำลังประเมินว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ 2 คนสุดท้ายนี้ คงจะทำให้ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐเลวร้ายลงอย่างน่าอับอายที่สุด
ทำให้คนไทยรู้สึกไม่พอใจตัวแทนของประเทศสหรัฐที่รัฐบาลส่งมา ทำลายความสัมพันธ์และความรู้สึกที่ดีๆ เสียหายไปอย่างรวดเร็ว น่าอับอายที่สุด
แม้แต่ตัวผม เคยไปร่ำเรียนจากสหรัฐ ศึกษาจนจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย Stanford University ก็ยังรู้สึกไม่ดีกับทูต 2 คนนี้ หลังจากแสดงพฤติกรรม ทัศนคดี วิธีคิด ท่าทีการปฏิบัติตนแทรกแซงยุ่มย่ามกิจการภายในของไทย
คนไทยกำลังจัดอันดับว่า ทูตสหรัฐ 2 คนนี้ คนไหนเลวร้ายกว่ากัน?