ภายหลังให้ข้อมูลเป็นเวลา 1.30 ชั่วโมง พล.ต.ท.อำนวยได้เดินมาส่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ขึ้นรถเดินทางกลับไปทันที โดยพล.ต.ท.คำรณวิทย์ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และปฏิเสธให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
จากนั้น พล.ต.ท.อำนวย เปิดเผยว่า วันนี้ได้เชิญ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เข้าให้ข้อมูลถึงเหตุการณ์ที่เกิดทั้งหมด ถือว่าให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เบื้องต้นจากการสอบปากคำ พบว่าพล.ต.ท.คำรณวิทย์มีอาวุธปืนในการครอบครองทั้งหมด 3กระบอก แต่กระบอกที่ถูกจับกุมที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นพบว่าไม่ได้เป็นของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ แต่ปืนกระบอกดังกล่าวจะมีทะเบียนถูกต้องหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
อย่างไรก็ตามจะมีการนัดพล.ต.ท.ตำรณวิทย์เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมแน่นอน แต่ยังไม่ได้ระบุวันและเวลาเนื่องจากต้องรอข้อมูลจากประเทศญี่ปุ่นเสียก่อน ซึ่งขณะนี้ได้เรียกสอบพยานบุคคลไปแล้วกว่า 17 ปาก
พล.ต.ท.อำนวย กล่าวอีกว่า ในส่วนของบริษัทท่าอากาศยานไทย (ทอท.) นั้น ทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งผลเป็นอย่างไรนั้นขอให้ถามจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือไปยังอัยการสูงสุด ให้ร่วมพิจารณาคดี เนื่องจากคดีดังกล่าวมีบางส่วนที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ซึ่งต้องรอให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรใน 3วิธี ได้แก่ 1.อัยการสูงสุดรับสำนวนไปดำเนินการเองทั้งหมด 2.ให้พนักงานสอบสวนชุดเดิมเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด หรือ 3.ให้พนักงานสอบสวนชุดเดิมที่ดำเนินการตั้งแต่แรกเป็นผู้ทำคดีต่อไป โดยมีอัยการสูงสุดเข้าร่วมด้วย คาดว่าไม่เกิน 2-3วัน จะได้ข้อสรุปดังกล่าว แต่ระหว่างที่รอคำสั่งจากอัยการสูงสุดพนักงานสอบสวนชุดปัจจุบันสามารถดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนตามปกติ
อย่างไรก็ตามสำหรับขั้นตอนการส่งหนังสือเพื่อขอข้อมูลคำให้การของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ จากประเทศญี่ปุ่นนั้น อาจใช้ระยะเวลานานเกือบเดือน จึงอาจจะปรึกษาผู้บังคับบัญชาเพื่อตั้งคณะพนักงานสอบสวนไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่แประสานขอข้อมูลสำนวนคดีจากทางการญี่ปุ่นด้วยตนเอง