เชือด‘ธัมมชโย’ ผู้ตรวจการฯชง‘บิ๊กตู่’ใช้ม.44 ตั้งกก.สอบปาราชิกปมฮุบที่ดิน

เชือด‘ธัมมชโย’ ผู้ตรวจการฯชง‘บิ๊กตู่’ใช้ม.44 ตั้งกก.สอบปาราชิกปมฮุบที่ดิน

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงผลการตรวจสอบกรณีพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย

 และนางวิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศ(มปปท.) ร้องเรียนขอให้ตรวจสอบกรณีนายพชร ยุติธรรมดำรง อดีตอัยการสูงสุด (อสส.)มีคำสั่งถอนฟ้องคดีที่พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกฟ้องคดีต่อศาลอาญา ในความผิดเกี่ยวกับการลงชื่อเป็นเจ้าของในการซื้อขายที่ดิน เมื่อพ.ศ.2549 และกรณีผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่บรรจุวาระการประชุมเกี่ยวกับการปาราชิกของพระธัมมชโย ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช

นายรักษเกชา กล่าวอีกว่า ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วจึงเห็นว่า การลงชื่อซื้อขายที่ดินในนามของพระธัมมชโยนั้น

 เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2535 ที่กำหนดว่าหากเป็นทรัพย์สินของวัดก็จะต้องมีการลงทะเบียนของวัดไว้เป็นหลักฐานว่า เป็นทรัพย์สินของวัด แม้ต่อมาพระธรรมชโยจะมีการคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้เป็นของวัดแต่ก็ล่วงเลยไปถึง 7 ปี ถือว่าการกระทำของพระธรรมชโยครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฐานทุจริต ผิดตามกฎหมาอาญามาตรา 147 และ 157 แม้ภายหลังจะมีการคืนทรัพย์สินให้วัด ก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดเท่านั้น ไม่อาจถือว่าทำให้การกระทำที่เป็นความผิดอาญาซึ่งสำเร็จไปแล้วกลายเป็นไม่มีความผิด ดังนั้นในประเด็นนี้ผู้ตรวจจึงมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อให้พิจารณาตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานพิจารณาว่าการที่นายพชรมีคำสั่งให้ถอนฟ้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

นายรักษเกชา กล่าวอีกว่า ในส่วนของสำนักพระพุทธศาสนานั้น หลังจากสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิต ฉบับลงวันที่ 26 เม.ย., 1 พ.ค. และ 10 พ.ค. 2542

ที่ระบุว่าพระธัมชโยควรคืนทรัพย์สินให้วัดซึ่งจะไม่ถือว่ามีโทษ เพราะอาจไม่มีเจตนา แต่หากไม่ยอมคืนทรัพย์สินดังกล่าว ถือว่าจงใจเอาทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ซึ่งถือได้ว่าพระธัมชโยย่อมไม่เป็นสมณะ ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระภิกษุโดยอัตโนมัติ ซึ่งพระลิขิตดังกล่าวถือว่าเป็นกฎหมายตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระลิขิตดังกล่าว แต่ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ และสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ไม่ได้ดำเนินการตามพระลิขิต จึงถือได้ว่าละเลยไม่ใส่ใจต่อการประพฤติผิดพระธรรมวินัยของพระสงฆ์บางรูป ผู้ตรวจฯ จึงมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.) เพื่อให้ขอให้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว)พ.ศ.2557 มาตรา 44 ตั้งคณะกรรมการร่วมสองฝ่าย ประกอบด้วยฝ่ายคฤหัสถ์ และบรรพชิต เช่น พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ผู้แทนจากสำนักงานพระพุทธศาสนา ผู้แทนจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ผู้แทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น เพื่อศึกษาประเด็นทางพระธรรมวินัยที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และพระธรรมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่

“ในมุมของผู้ตรวจการแผ่นดินจากการสืบพยานหลักฐานในชั้นศาล เห็นตรงกันว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มีความผิดขัดพ.ร.บ.คณะสงฆ์ แต่ไม่สามารถพูดได้ว่าปาราชิกหรือไม่ เพราะไม่อยู่ในอำนาจผู้ตรวจฯ แต่ถ้ายึดถือตามพระลิขิตแล้ว การที่พระธัมชโยไม่ยอมคืนทรัพย์สินและสู้คดีจนถึง 7 ปี จึงยอมคืนนั้น แสดงว่าไม่มีเจตนาจะคืนแต่แรกแล้ว และการที่พระเอาทรัพย์สินไปเป็นของตน ก็ถือว่าอาบัติปาราชิก แต่ผู้ตรวจฯ ไม่มีอำนาจดำเนินการด้วยตัวเอง จึงต้องเสนอเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป”นายรักษเกชา กล่าว

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์แนวหน้า


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์