"น้องไอนส์"วัย2ขวบเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง พ่อแม่พึ่งเทคโนโลยี่"แช่แข็งศพ" หวังชุบชีวิตได้ในอนาคต
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. เว็บไซต์เมโทรของอังกฤษเผยแพร่เรื่องราวของ ด.ญ.เมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ หรือน้องไอนส์ เด็กหญิงชาวไทยวัย 2 ขวบที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมอง จากนั้นพ่อแม่ซึ่งเป็นหมอทั้งคู่ ก็นำร่างลูกสาวตนไปแช่แข็งที่ห้องเย็นของมูลนิธิเพื่อชีวิต อัลคอร์ ไลฟ์ เอ็กซ์เทนชั่น ในรัฐแอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะได้ศึกษาร่างกายลูกต่อไปได้ในอนาคต และหวังว่าเมื่อเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์และการแพทย์เจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะสามารถชุบชีวิตแก้วตาดวงใจคนนี้คืนขึ้นมาได้
เมทรินทร์ นับว่าเป็นบุคคลแรกที่อายุน้อยที่สุดที่ถูกนำมาแช่แข็งด้วยกระบวนการที่เรียกว่า "ไครออนิกส์"
หรือกระบวนการศึกษาความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง และพฤติกรรมของวัตถุต่างๆ ภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำมาก ประมาณใต้ -150 เซลเซียส หรือ -238 องศาฟาเรนไฮต์ โดยจะนิยมใช้ก๊าซเหลวอย่างเช่น ไนโตรเจนเหลว หรือฮีเลียมเหลว แต่ที่ใช้กันมากที่สุดจะเป็นไนโตรเจนเหลว เพราะกฎหมายทั่วโลกอนุมัติให้ซื้อมาครอบครองได้ และแช่วัตถุนั้นๆไว้ในแคปซูล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมทรินทร์อายุเพียง 2 ขวบกับอีก 2 เดือน เมื่อแพทย์ตรวจพบก้อนเนื้องอกขนาด 4 นิ้วครึ่งอยู่ในสมองซีกซ้าย
ทำให้วินิจฉัยได้แน่ชัดว่าเมทรินทร์ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งแม้จะเป็นโรคที่มีพัฒนาการช้ามาก แต่ตามสถิติแล้ว ใน 5 ปีจะมีผู้รอดชีวิตเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น เมทรินทร์เข้ารับการผ่าตัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2557 ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งทีมศัลยแพทย์ได้เจาะเข้าไปในกะโหลกศีรษะเพื่อลดแรงดันในสมอง ก่อนจะนำก้อนเนื้องอกออกไปครึ่งหนึ่ง
เมทรินทร์ฟื้นตัวหลังจากผ่าตัดได้ 1 สัปดาห์ แต่เชื้อมะเร็งก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมทรินทร์ต้องเข้าผ่าตัดสมองถึง 12 ครั้ง ทำครีโม 20 ครั้ง และฉายรังสีอีก 20 ครั้ง จนกระทั่งเสียสมองซีกซ้ายไปร้อยละ 80 และจบชีวิตลงเมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา
"เรารู้ดีว่ามันจบแล้ว เราต้องเตรียมบอกลาลูก" ดร.สหธรณ์ เนาวรัตน์พงษ์ พ่อของเมทรินทร์กล่าว และว่า "ตอนนี้ร่างของเธอถูกแช่แข็งอยู่ที่มูลนิธิอัลคอร์ในรัฐแอริโซน่าของสหรัฐ"
พ่อแม่ของเมทรินทร์เรียนรู้ข้อมูลของมูลนิธิดังกล่าวมาจากอินเตอร์เน็ต ฉะนั้น หลังจากที่ลูกสาวเสียชีวิตลง จึงได้ร่วมมือกับทีมแพทย์ผู้รักษา ในการจ้างมูลนิธิด้วยเงิน 220,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7 ล้านบาท) ให้แช่แข็งลูกด้วยกระบวนการไครออนิกส์
"พ่อแม่ของเด็กเป็นหมอทั้งคู่ พวกเขาทำการผ่าตัดมา 11 ครั้งแล้วจนกระทั่งถึงจุดที่ไม่สามารถจะยื้อไหวได้อีก เขาก็เลยติดต่อทางเรามา" มาร์จิ คิลมา โฆษกประจำมูลนิธิ กล่าว
ที่ทำการมูลนิธิอัลคอร์ตั้งอยู่ในเมืองสก็อตเดลล์ รัฐแอริโซน่า ซึ่งปัจจุบันมีร่างคนไข้ 134 คนถูกแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลวภายใต้อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดยในจำนวนนั้นมีนักเบสบอลดางรุ่งอย่างเท็ด วิลเลียมส์ และจอห์น เฮนรี วิลเลียมส์ ลูกชายรวมอยู่ด้วย
"หลังจากที่สถานทูตสหรัฐในไทยอนุมัติการขนส่งเรียบร้อยแล้ว ตู้คอนเทนเตอร์ที่บรรจุร่างของเมทรินทร์ก็พร้อม น้ำแข็งแห้งพร้อม ส่งขึ้นเครื่องบินต่อไปที่สนามบินในนครลอสแองเจลิสในรัฐแคลิฟอร์เนีย" อารอน เดรค ผู้อำนวยการด้านการตอบรับทางการแพทย์ประจำมูลนิธิกล่าว
ส่วนพ่อแม่ของเมทรินทร์ได้สมัครเป็นสมาชิกของมูลนิธิอัลคอร์แล้ว ด้วยความหวังว่า กระบวนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าไครออนิกส์นี้จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อการแพทย์มีความก้าวหน้าถึงขีดสุด จะสามารถชุบชีวิตลูกสาวให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
สำหรับเทคโนโลยี ไครออนิกส์ คือกระบวนการเก็บศพไว้ในความเย็นเพื่อปลุกให้ตื่นในอนาคต มีบริษัทรับแช่ศพแบบนี้ในอเมริกาและยุโรป ศพที่แช่ไว้ตายด้วยโรคที่ปัจจุบันรักษาไม่ได้ เชื่อกันว่าในอนาคตโรคเหล่านี้อาจรักษาได้ ตอนนั้นก็ปลุกศพเหล่านี้ขึ้นมารักษา มีการทดลองแช่แข็งหนู ปรากฏว่าปลุกได้
สุดทึ่ง!!2ขวบเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง พ่อแม่พึ่งเทคโนโลยี่แช่แข็งศพ หวังชุบชีวิตในอนาคต
วันเดียวกัน ดร.สหธรณ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า "ไอนส์ เด็กหญิงเมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ ไอนส์เป็นลูกสาวคนเดียวในบรรดาพี่น้องสี่คนของดร.สหธรณ และ ดร.นารีรัตน์ เนาวรัตน์พงษ์
จริงแล้วเรื่องของไอนส์เริ่มขึ้นครั้งแรก เมื่อในอดีตย้อนหลังกลับไป 12 ปีก่อนไอนส์จะเกิด
คุณแม่ของไอนส์ได้รับการผ่าตัดมดลูกออก เพื่อรักษาชีวิตจากการตกเลือดในการคลอดลูกชายคนแรก ทำให้ครอบครัวไม่สามารถมีบุตรได้อีก
12 ปีต่อมาไอนส์ จึงเกิดขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ โดยการใช้ไข่และสเปิร์มจากพ่อแม่ที่แท้จริงปลูกถ่ายลงในมดลูกของแม่อุ้มบุญ ตลอดช่วงเวลาการตั้งครรภ์ครอบครัวของเราได้ดูแลแม่อุ้มบุญเป็นอย่างดีรวมถึงการตรวจโรคต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง ดีที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีการแพทย์ที่จัดหาได้ในประเทศ
ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่โรงเรียนแพทย์ชั้นนำของประเทศ ไอนส์คลอดออกมามีน้ำหนักแรกคลอดมากถึง 3800 กรัม มีลักษณะที่สมบูรณ์สุขภาพดีทุกประการตามที่เราคาดหวังจากผลอุลตร้าซาวด์
ไอนส์มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวคือดวงตากลมโตและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ เธอนำพาความสุขและความอบอุ่นมาให้กับครอบครัวสมกับที่รอคอยมานานถึง 12 ปี
ไอนส์เติบโตขึ้นมาด้วยพัฒนาการที่ปกติแข็งแรง สามารถเต้นรำร้องเพลงวิ่งเล่นหัวเราะ และมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่างปกติ ไอนส์ยังแสดงถึงการรู้จักความรักกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะการหอมแก้มน้องชายคน 1 ที่ไอนส์รักเป็นพิเศษ
รุ่งเช้าวันที่ 19 เมษายน 2557 ไอนส์อายุ 2 ขวบ 1 เดือน ไอนส์มีอาการปลุกไม่ตื่นจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการขาดน้ำจึงให้น้ำเกลือปริมาณสูงในการรักษาเบื้องต้น แต่ไอนส์ก็เข้าสู่อาการโคม่าอย่างรวดเร็วภายใน 20 นาที จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและเอ็กซเรย์สมองด่วน พบก้อนเนื้อขนาด 11 เซนติเมตรในสมองด้านซ้าย แทบจะไม่ต้องรอวินิจฉัยชิ้นเนื่อพวกเราก็ทราบทันทีว่ามันน่าจะคือมะเร็ง
แต่ทำไมมะเร็งขนาดใหญ่จึงไม่เคยแสดงอาการให้พวกเราได้สังเกตเห็นมาก่อนเลย
ในวันนั้นไอนส์ได้รับการผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะ เพื่อลดความดันในสมองและตัดชิ้นมะเร็งออกได้ประมาณ 50% แพทย์ได้ประเมินว่าไอนส์แทบไม่มีโอกาสจะฟื้นคืนสติ
ผลการวินิจฉัยชิ้นเนื้อ พบว่าเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงที่หายากชื่อว่า ependymoblastoma ครอบครัวเราได้รับคำแนะนำให้ปล่อยให้ไอนส์เสียชีวิต เพราะไม่มีวิธีการใดๆ ในการรักษา และไม่มีโอกาสในการฟื้นคืนสติ แต่แล้วเพียงสัปดาห์ ไอนส์ก็ลืมตาและเริ่มฟื้นคืนสติเริ่มร้องไห้และแสดงอาการตอบสนองต่างๆ สร้างความแปลกใจให้กับทุกคน ไอนส์แสดงถึงความต่อสู้ที่จะมีชีวิต
พวกเราตัดสินใจที่จะต่อสู้กับมะเร็งให้ถึงที่สุด เราอาจจะไม่ชนะมะเร็ง แต่ให้ไอนส์ได้เป็นบันไดก้าวหนึ่งของมนุษย์ที่จะเอาชนะมะเร็งในอนาคต
หลังจากไอนส์เริ่มฟื้นคืนสติ กับการผ่าตัดอีกหลายครั้ง ครอบครัวต้องทำใจยอมรับว่าไอนส์ได้สูญเสียสมองซีกซ้ายไปมากถึง 80% แต่ไม่เสียชีวิต ซึ่งหมายถึงว่าเธอจะไม่สามารถขยับร่างกาย ซีกขวาและยังสูญเสียความสามารถอื่นๆ เช่น การมองเห็นการได้ยินและการพูด แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดหรืออาจจะเป็นเพราะไอนส์มีอายุเพียง 2 ปี เธอได้แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่รวดเร็ว และตอบสนองการรักษาเป็นอย่างดี
ตลอดช่วงเวลาของการรักษาไอนส์ค่อยๆ กลับมามองเห็น ได้ยินเสียงรับรู้คำสั่งและแสดงความต้องการของตัวเองจนกระทั่งสามารถขยับร่างกายซีกขวาได้อีกครั้ง
จากการทำกายภาพบำบัดประจำ เราสังเกตเห็นพลังต่อสู้ในแววตาที่กลมโตของไอนส์ จนวันหนึ่งไอนส์ก็สามารถยืนขึ้นได้ และเริ่มฝึกเดิน มองด้วยตา 2 ข้างพร้อมกันเหมือนปรกติ ราวกับว่าถ้าเค้ารอดจากมะเร็งแม้จะมีสมองเพียงซีกเดียว เขาก็น่าจะกลับไปวิ่งและพูดได้แต่เกือบเหมือนเด็กปกติอีกครั้ง พวกเราได้เผยแพร่เรื่องราวของไอนส์และการต่อสู้ไปในโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยเป็นอีกจำนวนมาก ไอนส์ยังอยู่รอดมาถึงวันนี้ด้วยพลังที่น่าประทับใจจากภายใน เธอยังคงแสดงถึงรอยยิ้มและความรักมากมายเหมือนที่เธอเป็นแต่เกิด
ไอนส์ผ่านการผ่าตัดสมองและการผ่าตัดอื่นๆรวมแล้วมากถึง 12 ครั้ง คีโม 20 ครั้งและทำรังสีบำบัด 20 ครั้ง ในช่วงเวลานั้นเราได้เห็นเพื่อนร่วมทุกข์มากมายที่เป็นมะเร็ง ส่วนใหญ่เสียชีวิตลงคนแล้วคนเล่า ทั้งที่พวกเขายังเป็นเด็ก เหมือนการต่อสู้ที่จะยังไม่สิ้นสุดของมนุษย์ เราจึงพยายามผลักดันให้เกิดการจัดตั้งกองทุนถอดรหัสพันธุกรรมคือการต่อสู้มะเร็งในเด็ก โดยให้การต่อสู้ของไอนส์เป็นจุดเริ่มต้น
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 เราตรวจพบว่ามะเร็งหลายแพร่กระจายไปตามส่วนต่างๆของสมอง ไอนส์เริ่มมีอาการอัมพาตบนใบหน้าและกล้ามเนื้อบางส่วน เรารู้ว่าเวลาสุดท้ายใกล้มาถึง สุดเอื้อมของมนุษย์ สุดเอื้อมที่เทคโนโลยี่ปัจจุบันจะอำนวยให้ เราต้องเตรียมใจอำลาแล้ว
วันที่ 8 ม.ค. 2558 ด้วยความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ ไอนส์ได้กลับบ้านครั้งสุดท้ายอย่างมีสติสมบูรณ์ ท่ามกลางครอบครัวและหมู่ญาติ เราได้คุยได้เล่นกันครั้งสุดท้าย ก่อนเราจะปิดระบบพยุงชีพเพื่อปลดปล่อยภาระที่แสนหนักจากบ่าเล็กๆ ในเวลา 18:18 น.
เซลมะเร็ง และเซลจากส่วนต่างๆ ของร่างกายไอนส์ถูกเก็บตัวอย่างรักษาไว้เพื่อการศึกษา ร่างกายของไอนส์ถูกเก็บรักษาในสภาพมีชีวิตภายไต้อุญหภูมิเย็นจัด (cryopreservation) ใน Arizona USA เพื่อรอเทคโนโลยี่การซ่อมร่างกายที่เหมาะสมกับไอนส์ในอนาคต
Cryopreservation จะทำให้เกิดธนาคารอวัยวะแช่เย็นในอนาคตอันใกล้ เป็นความหวังให้แก่ผู้ป่วยรอเปลี่ยนถ่ายอวัยวะอีกมากมาย
ชีวิตของไอนส์ทั้งหมดได้อุทิศให้กับความรักสุดหัวใจและวิทยาศาสตร์เพื่อผลักดันคุณภาพชีวิตของมนุษย์ และจะอยู่คู่มนุษย์ตลอดไป"