เวลา 1 ปีที่ผ่านไป หากเป็นการสร้างความรักของคน 2 คน คงจะพัฒนาและลงหลักปักฐานขยายการสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้เป็นอย่างดี แต่หากเป็นการจากลา ระยะเวลา 1 ปี คงจะลบรอยแผลของความเจ็บช้ำ จนหลงเหลือเพียงแค่ซากความรางเลือนของความทรงจำ
แต่ถ้าเป็นการจากลาที่คนรักหายไปอย่างลึกลับ โดยไม่รู้ว่าชะตากรรมตอนนี้เป็นอย่างไร
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เราจะจัดการความรู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร
ย้อนหลังกลับไปเมื่อบ่ายวันที่ 17 เม.ย.57 นายพอละจี รักจงเจริญ หรือที่พรรคพวกเรียกว่า ‘บิลลี่’ ชายหนุ่มกะเหรี่ยงร่างเล็ก ที่ผันตัวเองมาเป็นอบต.ห้วยแม่เพรียง และแกนนำนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนบ้านบางกลอย ขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ไนซ์ สีเหลือง บรรทุกน้ำผึ้งป่าหนักมากกว่า 30 กิโลกรัม พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า ลงมาจากบ้านบางกลอยผ่านถนนลูกรัง เลาะเลียบไหล่เขาตามทางที่คดเคี้ยว และลาดชัน จนมาถึงด่านเขามะเร็ว
เขาถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานควบคุมตัวไว้ ในข้อหามีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง ก่อนที่เจ้าหน้าที่อุทยานประจำด่านเขามะเร็ว จะแจ้งให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ (ในขณะนั้น) ก่อนที่นายชัยวัฒน์ พร้อมลูกน้อง 3 คน และนักศึกษาฝึกงาน 2 คน จะนั่งรถประจำตำแหน่งมายังจุดที่ควบคุมตัว
นายชัยวัฒน์ กล่าวอ้างภายหลังว่า สาเหตุที่จับกุมตัวบิลลี่ เนื่องจากครอบครองน้ำผึ้งป่าไว้ 5 ขวด ซึ่งเป็นสิ่งของผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากเห็นว่า น้ำผึ้งมีจำนวนไม่มาก จึงว่ากล่าวตักเตือนบิลลี่ และปล่อยบิลลี่ ลงระหว่างทางก่อนถึงแยกหนองมะค่า
แต่หลังจากบิลลี่ถูกนายชัยวัฒน์จับตัวไป นับจากวันนั้นมาจนถึงขณะนี้เป็นเวลา 1 ปี ยังไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย แม้ว่าลูกเมีย ญาติพี่น้อง และกลุ่มเครือข่ายกะเหรี่ยง จะพยายามออกตามหาเขาในทุกที่ รวมทั้งใช้ทุกพิธีกรรมที่เชื่อว่าจะทำให้พบตัวบิลลี่
แต่ก็ยังไม่มีใครเจอบิลลี่ ในทุกที่ที่ออกตามหา
ขณะที่ “มุนอ” น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยา ยื่นฟ้องร้องต่อศาลขอให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อสั่งให้ นายชัยวัฒน์และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอีก 3 คน ที่ควบคุมตัว บิลลี่ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550 แต่ศาล จ.เพชรบุรี และศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งยกคำร้องในคดีดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าคดีไม่มีมูลเพียงพอ อีกทั้งพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบ ยังรับฟังไม่ได้ว่า มีการคุมขังนายบิลลี่ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากฟ้องศาลแล้ว “มุนอ” ยังยื่นหนังสือร้องเรียนผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เนื่องจากกังวลต่อการสอบข้อเท็จจริงเรื่องที่ สภ.แก่งกระจาน ยื่นคำร้องให้ป.ป.ท.ตรวจสอบนายชัยวัฒน์ และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในความผิดตามมาตรา 157 ที่ควบคุมตัวบิลลี่ แล้วไม่ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี แต่เจ้าหน้าที่ป.ป.ท. พื้นที่ 7 ที่เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้เป็นลูกน้องเก่านายชัยวัฒน์ จึงทำให้ไม่มั่นใจ และกังวลว่าจะมีการแทรกแซงคดีความ
รวมทั้งเดินทางร้องเรียนต่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ช่วยตามหาสามี แต่คำตอบราวกับอยู่ในสายลม เมื่อยังไม่มีความคืบหน้าในการตามหาบิลลี่ มากเท่าที่ควร แม้องค์กรระหว่างเทศ อย่างสหประชาชาชติ จะเร่งให้รัฐบาลไทยชี้แจงในเรื่องนี้ก็ตาม
“บางครั้งหนูก็นั่งร้องไห้ บางครั้งหนูก็นั่งหัวเราะ”
หลังการหายไปของบิลลี่ คนที่รับภาระทุกอย่างต่อจากเขาคือ “มุนอ” ซึ่งนอกจากต้องเลี้ยงลูก 5 คน ด้วยตัวเองแล้ว ยังต้องหอบหิ้วลูกเข้ามาร้องเรียนและยื่นหนังสือหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ช่วยตามหาสามี แม้ความหวังจะมีน้อยนิดก็ตาม
มุนอ เล่าความเจ็บปวดกับเรื่องที่กัดกินใจมาเป็นปีว่า มันเหน็ดเหนื่อย เหมือนเสาหลักหักไปต้นหนึ่ง บ้านที่อยู่ก็ไม่มั่นคง ทำให้ที่บ้านต้องอยู่อย่างอยากลำบาก เพราะต้องทำงานเลี้ยงลูกทั้ง 5 คนเพียงลำพัง ทั้งยังต้องอยู่กับความหงอยเหงา บางครั้งเหมือนคนไม่มีความสุข ที่อยู่กับคำถามที่ไม่มีคำตอบ เมื่อคนๆ หนึ่งหายไปทำให้อยู่อย่างไม่มีความสุข เพราะอยากรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร
“บางครั้งอยู่คนเดียวก็นั่งคิดว่าทำไม เกิดมาบนโลกแล้วมาเจอกับสิ่งเหล่านี้ ไม่น่ามาเกิดกับเรา นั่งคิดมากๆน้อยใจในโชคชะตาก็ร้องไห้ออกมาคนเดียว บางครั้งนั่งนึกถึงความดีของพี่บิลลี่ นึกถึงตอนที่เขาเล่นกับเรา นึกถึงตอนที่เขาชอบทำให้หัวเราะ ก็นั่งหัวเราะออกมาคนเดียว”
“มันทั้งเหนื่อย ทั้งท้อใจ ท้อแท้ ไม่อยากทำอะไร แม้ข้าวก็ไม่อยากกิน แต่สุดท้ายแล้วยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้ ลูกคนที่ 4 ก็ยังคงถามหาพ่อของเขาตลอด ว่าเมื่อไหร่พ่อจะกลับบ้าน เมื่อไหร่พ่อจะฟื้นขึ้นมา เมื่อไหร่พ่อจะนอนตื่นสักที แต่เราก็ไม่รู้จะตอบรู้ยังไง ไม่ใช่ลูกเท่านั้น ครอบครัวญาติพี่น้องกำลังรอคอยความจริงให้ปรากฎออกมา แต่ยังไม่มีอะไรที่บ่งบอกได้ว่า ความคืบหน้าของเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ยังเงียบ ทำให้เสียความรู้สึก ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรทั้งสิ้น”
“หนูไม่หวังอะไรแล้วตอนนี้ ถ้าคนที่รู้ว่าพี่บิลลี่หายไปไหน คนที่รู้เหตุการณ์ในวันนั้นไม่พูดความจริง หนูก็ไม่รู้จะหวังอะไร มีแต่ความรู้สึกเฉยๆเท่านั้น ครบรอบ 1 ปี หนูก็คงทำบุญให้เขา เวลาทำบุญก็จะอธิษฐานว่าหากยังมีชีวิตอยู่ ก็ขอให้อยู่สุขสบาย แต่ถ้าเขาตายแล้วก็ขอให้ไปสบาย” มุนอ พูดถึงชีวิตที่ไร้ความหวัง
“บนทางที่มืดมิด ปลายทางยังพอมีแสงสว่าง”
แม้หนทางในการตามหาตัวบิลลี่ยังดูมืดมน แต่จากการทำงานหนักของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีนี้ นำโดย พ.ต.อ.ไตรวิช น้ำทองไทย รองผบก.สส.ภาค 7 หัวหน้าทีมสืบสวน ที่พยายามคลำทางเพื่อตามหาความจริง และความยุติธรรมให้กับครอบครัวรักจงเจริญ ทำให้เริ่มมีแสงสว่างส่องทางให้เห็น โดยเฉพาะข้อมูลจากการสืบสวนสอบสวน ที่ขัดแย้งกับสิ่งที่นายชัยวัฒน์ และทีมงาน ให้ปากคำในชั้นศาล และสื่อสารเรื่องนี้ผ่านสื่อมวลชนมาโดยตลอด
พ.ต.อ.ไตรวิช ชี้ว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานสรุปได้ว่า ปริมาณน้ำผึ้งที่บิลลี่นำติดตัวมานั้นมีมากกว่า 30 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่า 5 ขวด เหมือนที่เจ้าหน้าที่อุทยานให้การ นอกจากนี้ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด และจำลองเหตุการณ์บริเวณจุดปล่อยตัวบิลลี่หลายครั้ง พบว่าไม่น่าจะมีการปล่อยตัวบิลลี่ไว้กลางทาง อย่างที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ กล่าวอ้างอย่างแน่นอน
รอง ผบก.สส.ภาค 7 ยังเผยถึงข้อมูลสำคัญว่า นักศึกษาที่ไปกับนายชัยวัฒน์ในขณะนั้น เบื้องต้นให้การว่า เห็นบิลลี่ระหว่างทาง แต่หลังจากที่ไปสอบปากคำต่อหน้าอาจารย์ และพ่อของนักศึกษาทั้ง 2 ราย ที่สภ.คูคต จ.ปทุมธานี นักศึกษาทั้ง 2 รายให้ปากคำว่า ไม่พบเห็นบิลลี่ อย่างที่เคยให้การไปก่อนหน้านั้น โดยที่ให้การไปตอนนั้น เนื่องจากมีการเขียนโพยให้นักศึกษาท่อง นอกจากนี้ จากการสอบปากคำนายเกษม ลือฤทธิ์ หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กจ.6 เขามะเร็ว ยืนยันว่า ไม่เห็นว่ามีการปล่อยตัวบิลลี่ แต่อย่างใด
“ยืนยันได้ว่าจากการจำลองสถานที่ทั้งหมด รวมทั้งการสืบสวนสอบสวนพยานหลักฐาน เชื่อว่าไม่มีความเป็นไปได้เลย ที่จะมีการปล่อยตัวบิลลี่หลังจากถูกควบคุมตัว อย่างไรก็ตาม การทำคดีนี้ต้องพบอุปสรรคมากมาย ทั้งการถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรม ทั้งเรื่องการสืบหาข้อมูลในพื้นที่ แต่จะพยายามทำคดีอย่างเต็มที่ โดยไม่กลัวอิทธิพลของใครทั้งสิ้น” พ.ต.อ.ไตรวิช ยืนยันหนักแน่น
ขณะที่ น.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ที่ดูแลคดีนี้ในการฟ้องมาตรา 90 กล่าวว่า แม้ทั้ง 2 ศาลจะยกคำร้องของเรา โดยระบุว่าคดีมีมูลไม่เพียงพอนั้น ขณะนี้ทีมทนายกำลังหารือกันอยู่ว่า พอจะมีทางเป็นไปได้ไหมที่จะยื่นฏีกาในเรื่องนี้ โดยจะนำหลักฐานใหม่คือการกลับคำให้การของนักศึกษาส่งให้ศาลพิจารณา เนื่องจากในชั้นอุทธรณ์ยังไม่ได้ยื่นประเด็นนี้ แต่ต้องประเมินว่าการจะยื่นครั้งนี้จะมีผลดีผลเสีย และผลกระทบกับรูปคดีในส่วนของการฟ้องคดีอาญาหรือไม่ ต้องดูความเป็นไปได้ก่อน
ร่วมใจปักหมุด “ที่นี่มีคนหาย”
ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐ กำลังคลี่คลายคดีนี้ กลุ่มเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานตะนาวศรี หัวแรงใหญ่ที่ยืนเคียงข้าง มุนอ และครอบครัว ร่วมกับ อังคนา นีละไพจิตร ภรรยาทนายสมชาย นีละไพจิตร และพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง ร่วมกันจัดกิจกรรมรำลึก 1 ปี บิลลี่หายไป 11 ปี ทนายสมชาย ที่ด่านมะเร็ว ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี จุดที่บิลลี่หายตัวไป ในเวลา 08.00 น. วันที่ 17 เม.ย. ที่จะถึงนี้
กิจกรรมมีทั้งการเดินเท้าโดยพร้อมเพรียงกัน ระหว่างผู้จัดงาน และกลุ่มชาติพันธุ์ จากหลายพื้นที่เข้าร่วมเดินปักหมุด เพื่อแสดงจุดยืนให้รัฐบาลไทยให้ความสนใจ และจริงใจในการเร่งจัดทำร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับ บุคคลให้สูญหาย หลังจากไทยเข้าเป็นภาคีและร่วมลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่า ด้วยการคุ้มครองมิให้มีการบังคับให้บุคคลสูญหายขององค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2555 ที่ผ่านมา
ขณะที่ในช่วงบ่าย ยังมีกิจกรรมที่ศูนย์วัฒนธรรมบ้านโป่งกระทิงบน จ.ราชบุรี โดยมีเวทีการพูดคุยถึงปัญหาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก กลุ่มป่าแก่งกระจานของกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช การแสดงจากกลุ่มพี่น้องชาวปกาเกอญอ เช่น รำเกลียวเชือก เป่าเขาควาย เป่าแคน และซอ รวมทั้งดนตรีเพราะๆ ของพี่จุ้ย และ พจนาถ พจนาพิทักษ์
พร้อมกันนี้ยังมีการระดมทุนในฐานะที่ทุกคนคือบิลลี่ เพื่อนำเงินช่วยสร้างบ้านและซื้อของใช้ให้กับมุนอ และครอบครัว โดยผู้ที่สนใจสามารถร่วมบริจาคได้ที่ เลขบัญชี 729-0-16411-3 ธนาคารกรุงไทย สาขาสวนผึ้ง ชื่อ โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม อ.สวนผึ้ง อ.บ้านคา อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี
เวลา 1 ปี อาจนานพอที่จะลืมเลือนอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต แต่สำหรับคนข้างหลังอย่าง “มุนอ” แม้จะเจ็บปวดเพียงใด แต่ยังคงคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับบิลลี่อยู่เสมอ และถึงแม้กระบวนการตามหาตัวบิลลี่จะดูไร้ความหวัง แต่ก็ยังต้องหวังให้หน่วยงานภาครัฐ และรัฐบาล หันมาให้ความสนใจ และจับกุมคนที่อุ้มตัวบิลลี่มาดำเนินคดีให้ได้
อย่างน้อยที่สุดเพื่อเยียวยาหัวใจของ “มุนอ” และลูกน้อยอีก 5 คน