จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (7 เม.ย.) นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา นักธุรกิจพันล้าน เจ้าของบริษัท สัญญาประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นสโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง แห่งศึกแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ และประธานผู้สนับสนุนสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม กรณีถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) แจ้งข้อกล่าวหา ว่ากระทำการสนับสนุนข้าราชการโดยมิชอบ ผิดระเบียบการกู้ยืมเงินของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) หลังจากผู้บริหาร สกสค.ได้เคยเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายสัมฤทธิ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยนำเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมามอบไว้เป็นหลักฐาน
โดย นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อประมาณกลางปี 2556 ตนได้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในนามบริษัท บิลเลี่ยนอินโนเวเท็ต กรุ๊ป จำกัด ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี รวม 1,200 ไร่ ด้วยงบประมาณ 6,500 ล้านบาท ต่อมาทาง สกสค.ได้ขอเข้าร่วมดำเนินการในโครงการนี้ โดยนำงบประมาณ 2,100 ล้านบาท มาร่วมลงทุน แต่ภายหลังได้มีอดีตผู้บริหาร สกสค.ได้แจ้งความพนักงานสอบสวน บก.ป.และ บก.ปปป.กล่าวหาว่าตนกระทำการซึ่งเข้าข่ายสนับสนุนข้าราชการโดยไม่ชอบ และมีการกู้ยืมเงินกองทุน สกสค.ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่เป็นกรณีที่ทาง สกสค.นำเงินมาร่วมลงทุนเอง
ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายเกษม คำมุงคุณ ตัวแทนสมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการเงินกู้ ของ ช.พ.ค.ทั้งคณะ รวม 17 คน ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ความผิดตาม พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ
จากกรณีที่คณะกรรมการบริหารดังกล่าว ได้นำเงินกองทุนกว่า 2,100 ล้านบาท ไปลงทุนร่วมกับ นายสัมฤทธิ์ เจ้าของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ในโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี โดยไม่ผ่านมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.)
โดย นายเกษม เปิดเผยว่า เมื่อปี 2556 บริษัทของนายสัมฤทธิ์ขาดทุนกว่า 2 ล้านบาท แต่คณะกรรมการบริหารชุดดังกล่าวยังนำเงิน 2,100 ล้านบาท ไปร่วมลงทุนกับนายสัมฤทธิ์ ในโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี โดยไม่ผ่านมติของ ครม.และหลายครั้งที่คณะกรรมการนำเงินไปจัดซื้ออุปกรณ์สมุด เครื่องเขียน โดยมิชอบ รวมถึงนำเงินไปลงทุนกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 6,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย ในส่วนของนายสัมฤทธิ์ และนายเกษม ตัวแทนสมาชิก ช.พ.ค ที่ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังกล่าว จะพบว่ามีข้อมูลที่ยืนยันตรงกัน คือ สกสค.ได้เห็นชอบให้มีการนำเงินกองทุนกว่า 2,100 ล้านบาท ไปลงทุนร่วมกับนายสัมฤทธิ์ เจ้าของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ในโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในช่วงปี 2556
ส่วนประเด็นที่ต้องมีการอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์พิจารณาประกอบ คือ 1.นายสัมฤทธิ์ ให้การยืนยันว่า การลงทุนดังกล่าว สกสค.นำเงินมาลงทุนด้วย ไม่ได้เป็นการกู้ยืมเงิน 2.นายสัมฤทธิ์ ให้การยืนยันว่า หลังการกู้ยืมเงินดังกล่าว ถูกอดีตบอร์ดคนหนึ่ง ข่มขู่ให้ล้มล้างบอร์ดบริหารของ สกสค.และเรียกรับค่าคอมมิชชั่น โดยงวดแรกให้จ่ายก่อน 77 ล้านบาท และ 3.นายเกษม ตัวแทนสมาชิก ช.พ.ค.ระบุว่า บริษัทของนายสัมฤทธิ์ขาดทุนกว่า 2 ล้านบาท แต่คณะกรรมการบริหารชุดดังกล่าวยังนำเงิน 2,100 ล้านบาท ไปร่วมลงทุนด้วย โดยไม่ผ่านมติของ ครม.ขณะที่กระบวนการทำงานของคณะกรรมการ ถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องความไม่โปร่งใสหลายประการ
เบื้องต้น ไม่ว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ปรากฎให้เห็นชัดเจนในขณะนี้ คือ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ของนายสัมฤทธิ์ ซึ่งกล่าวอ้างว่าจัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดิน 1,200 ไร่ ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าป้อง จ.เพชรบุรี งบประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยแจ้งผลการดำเนินธุรกิจล่าสุดปี 2556 ระบุว่า ขาดทุน 2 ล้านกว่าบาทจริง
โดยข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 30 พ.ย.55 ทุนปัจจุบัน 2,000 ล้านบาท (ช่วงจัดตั้งบริษัทฯ แจ้งทุนไว้ที่ 100 ล้านบาท ก่อนปรับเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.56) ตั้งอยู่เลขที่ 57 อาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ ชั้น 11 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจ การซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย ปรากฎชื่อ นายสิทธินันท์ หลอมทอง และนายมงคล เยี่ยงศุภพานนทร์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ส่วน นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา และนายณิศร์ เดินตามแบบ รวมเป็นกรรมการ
รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 13 ก.พ.58 มี 4 ราย นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ถือหุ้นใหญ่สุด 15,000,000 หุ้น มูลค่า 1,500,000,000 บาท ทั้งนี้ บริษัทนำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจล่าสุด ปี 2556 แจ้งว่ามีรายได้รวม 16,760,733.80 บาท รวมรายจ่าย 19,535,907.82 บาท ขาดทุนสุทธิ 2,775,174.02 บาท ส่วนปี 2555 แจ้งว่า มีรายได้รวม 5,776.63 บาท รวมรายจ่าย 1,487,766.77 บาท ขาดทุน 1,481,990.14 บาท ส่วนสินทรัพย์ ปี 2555 แจ้งว่า มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 187,460.30 บาท มีเงินให้กู้ยืมระยะสั้นแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง 17,390,862.51 บาท มีที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 5,295,719.68 บาท มีหนี้สินรวม 148,010.81 บาท
ส่วนสินทรัพย์ ปี 2556 (นายสัมฤทธิ์ ให้การยืนยันว่า สกสค.นำเงินมาลงทุนด้วยจำนวน 2,100 ล้านบาท ไม่ได้เป็นการกู้ยืมเงิน) ระบุว่ามีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 1,800,328,176.97 บาท มีเงินให้กู้ยืมระยะสั้นแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง 183,159,019.98 บาท รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 1,986,080,822.50 บาท รวมที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 9,029,514.88 บาท มีหนี้สินรวม 144,231.69 บาท
ทั้งนี้ หากดูงบการเงินของบริษัท โดยเฉพาะในปี 2556 จะพบว่า มีเงินสดเป็นหลักพันล้านบาทไหลผ่านเข้ามา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการระบุข้อมูลว่า สกสค.นำเงินมาลงทุนด้วยจำนวน 2,100 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นเงิน 2 พันล้านบาท แต่สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่ข้อมูลในส่วนของ มีที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ซึ่งบริษัทระบุว่ามีมูลค่ารวมกันแค่ 5,295,719.68 บาท ทั้งในงบการเงินปี 55 และ 56 ขณะที่บริษัทอ้างว่า จัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดินจำนวน 1,200 ไร่ ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี งบประมาณ 6,500 ล้านบาท กรณีนี้สามารถพิจารณาได้ 2 ประเด็น คือ 1.โครงการอยู่ในช่วงเริ่มต้น บริษัทยังไม่ได้ทำอะไร 2.บริษัทเตรียมที่จะนำเงินทุนที่ได้รับจาก สกสค.จำนวน 2,100 ล้านบาท ไปใช้ในการดำเนินงานโครงการ
ซึ่งคำถามที่น่าสนใจ คือ สกสค.เชื่อมั่นได้อย่างไรว่า บริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งแค่ 1 ปี จะสามารถทำโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ได้ โดยไม่มีปัญหาให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ขณะที่จัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดิน 1,200 ไร่ ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี งบประมาณ 6,500 ล้านบาท ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ต้องผ่านขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานราชการหลายขั้นตอน โดยเฉพาะการขอใบอนุญาต ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ก็จะย้อนกลับไปที่ตัวคณะกรรมการบริหาร สกสค.ต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่า การอนุมัติเงินมาลงทุนกับบริษัทได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม.เพื่อนำเงินของข้าราชการนับพันล้านไปลงทุนทำธุรกิจ
ส่วนกรณีที่ นายสัมฤทธิ์ ให้การยืนยันว่า หลังการกู้ยืมเงินดังกล่าว ถูกอดีตบอร์ดคนหนึ่งข่มขู่ให้ล้มล้างบอร์ดบริหารของ สกสค.และเรียกรับค่าคอมมิชชั่น เรื่องนี้คงไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงได้ดีเท่ากับนายสัมฤทธิ์ และอดีตบอร์ดคนดังกล่าว แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจบางประการคือ เหตุการณ์ถูกข่มขู่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นก็มีการข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายและฆ่า โดยจะนำระเบิดมาวางไว้ที่บ้านและที่ทำงาน ถูกคุกคามตลอดจนทนไม่ไหว แต่นายสัมฤทธิ์เพิ่งตัดสินใจเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา และเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่ตัวแทนสมาชิก ช.พ.ค.จะเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่กี่ชั่วโมง และการปล่อยกู้เงินเริ่มเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐแล้ว
ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายสัมฤทธิ์ นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นประธานบริหารสโมสรฟุตบอลทีมเพื่อนตำรวจแล้ว ยังปรากฎชื่อเป็นกรรมการบริษัท สโมสรฟุตบอลโล่ห์เงิน จำกัด (มหาชน) ด้วย จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 23 ก.พ.52 ทุน 140 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 99 หมู่ที่ 18 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แจ้งประกอบธุรกิจเงินสนับสนุนสโมสรฟุตบอล ขายสินค้าที่ระลึก บัตรเข้าชมการแข่งขันฟุตบอล ปรากฎชื่อ นายสิทธินันท์ หลอมทอง , นายวสุ ชิวปรีชา , นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา , นายมงคล เยี่ยงศุภพานนทร์ , พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ สารีรัตน์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา , นายกมล เอี้ยวศิวิกูล ร่วมเป็นกรรมการ
รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 เม.ย.57 มีจำนวน 25 คน มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รวมถือหุ้นด้วยจำนวนหลายคน ได้แก่ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา , พ.ต.อ.เขตขัณฑ์ บำรุงรัตน์ , พล.ต.ต.เทพฤทธิ์ พรรณพัฒน์ , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ , พล.ต.ต.ภูมิรา วัฒนปาณี , พ.ต.ท.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว , พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย , พ.ต.ท.ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล , พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ , พล.ต.ต.วิรัช วัชรขจร , พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว , พ.ต.อ.สมภพ พงษ์ฤกษ์ , พล.ต.ต.ฐณพล มณีภาค , พ.ต.อ.ฐิติพันธ์ อมรสุคนธ์ และ พ.ต.ท.ทินกร รังมาตย์
ทั้งนี้ จากรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัททั้งหมด คงต้องยอมรับว่า สถานะทางสังคมของนายสัมฤทธิ์ ถือว่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจหน้าที่ในการรักษากฎหมายบ้านเมือง ปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลนอกกฎหมาย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดต่อว่า กรณีที่นายสัมฤทธิ์อ้างว่าถูกบอร์ดคนหนึ่งข่มขู่ให้ล้มล้างบอร์ดบริหารของ สกสค.และเรียกรับค่าคอมมิชชั่นดังกล่าวนั้น ถ้าอดีตบอร์ดรายนี้ไม่ได้มีอำนาจอิทธิพลแบบสุดๆ ก็ต้องกล้าอย่างมาก ถึงกระทำการกับนายสัมฤทธิ์แบบนี้ ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเบื้องต้นจากปัญหาอนุมัติเงินกองทุน ช.พ.ค.จำนวน 2,100 ล้านบาท