หมอเผ่า กลับบ้านแฉตัวการทำครอบครัวแตก

นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ได้ให้สัมภาษณ์ "เดลินิวส์"


หลังจากกลับมาอยู่กับครอบครัวที่บ้านพักย่านศาลายา จ.นครปฐม โดย นพ.ประกิตเผ่า ในชุดเสื้อยืดโปโลสีแดง กางเกงยีน หน้าตาสดใสยิ้มแย้ม

กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า

ตอนนี้กลับมาอยู่กับครอบครัวแล้วรู้สึกมีความสุขมาก และเพิ่งเข้าใจว่าความรักของคนในครอบครัวมันมากมาย และสำคัญจริง ๆ ทำให้ผมหายป่วยเร็วกว่าผู้ป่วยรายอื่น ๆ มาก ส่วนตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่ได้ทำอะไร แต่พอเริ่มหายจากอาการก็นั่งเขียนหนังสือเพื่อใช้สอน คือ ตนเองเป็นคนไม่ชอบอยู่เฉย ๆ ต้องมีงานทำถึงจะสบายใจ

เมื่อถามว่า หลายเดือนที่ผ่านมาคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและครอบครัว สาเหตุมาจากอะไร


ที่ผ่านมาเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ตนเคยพบมา เสียใจมาก และรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ สาเหตุมาจากการคบคนผิด และเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด คิดว่าถ้าเราดีกับใคร เขาน่าจะดีต่อเราเช่นกัน

สำหรับความขัดแย้งเกี่ยวกับครอบครัวเรื่องสถาบันกวดวิชานั้น ไม่มีเลย ตนไม่ใช่หลักสำคัญในการที่ทำให้โรงเรียนสอนกวดวิชาของครอบครัว มีชื่อเสียง คุณพ่อคุณแม่ของตนสร้างฐานะครอบครัวมาด้วยความยากลำบาก ท่านทั้งสองได้สะสมคุณงามความดีและประสบการณ์ในการสอนหนังสือ จนทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียง

ส่วนตนเข้ามาช่วยงานท่านภายหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ได้วางรากฐานไว้จนสมบูรณ์แล้ว คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย น้องสาว และภรรยาของตนต่างมีส่วนช่วยเหลือกันในกิจการสอนพิเศษมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป เรามีแต่ความสามัคคี ไม่ได้อิจฉากัน คุณพ่อ คุณแม่ รักลูกเท่ากัน และให้ความยุติธรรมกับลูก ๆรวมทั้งพนักงานทุกคน เราอยู่กันสบาย ๆ ไม่มีความขัดแย้งเลย

นพ.ประกิตเผ่า กล่าวต่อว่า


ที่เขาอ้างว่าทำทุกอย่างเพราะตนสั่ง ก็ต้องมองว่า การที่ตนโทรฯติดต่อเขาก็เพราะตนป่วย โดย "หัวหน้า กลุ่ม" และพวก ที่พยายามช่วยตนให้ออกจากโรงพยาบาล ก็เพื่อสานต่อให้แผนของเขาสำเร็จ ที่แน่ ๆ เขารู้อยู่เต็มอกว่าตนป่วยทางจิต ไม่ใช่ความเข้าใจผิด หรือทำตามตนสั่ง หรือมีเจตนาดีอะไร

ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น คงให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม ใครถูกใครผิด ก็ว่ากันไปตามจริง และตนคงไม่ให้สัมภาษณ์บ่อย ๆ ให้เขาหาเหตุฟ้องร้อง ที่ผ่านมาครอบครัวตนบอบช้ำมากพอแล้ว

เมื่อถามว่า ขณะนี้พร้อมที่จะเข้าสอนในสถาบันกวดวิชาหรือยัง


นพ.ประกิตเผ่า กล่าวว่า ตอนนี้ตนพร้อมเข้าสอนแล้ว และอยากเรียน ให้สังคมทราบด้วยว่าโรคแบบที่ตนเป็นสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยความสามารถ และความทรงจำยังคงเหมือนเดิม

แต่ที่ตนยังไม่ไปสอน เพราะยังต้องใช้ยาระยะหนึ่งตามมาตรฐานการรักษา

และการใช้ยาบางตัวทำให้เสียงแหบ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการสอน แต่คงไม่น่าจะมีผลต่อชื่อเสียงของโรงเรียน เพราะพ่อแม่ตนทำมาตลอดชีวิต เนื้อหาที่สอนยังคงอยู่ ตนซึ่งเป็นผู้สอนคนหนึ่งก็แค่พักรักษาตัว สังคมส่วนใหญ่ก็เข้าใจแล้วว่าความจริงคืออะไร ถึงจะกระทบต่อจำนวนเด็กที่มาเรียนบ้าง เราก็ต้องยอมรับ

นพ.ประกิตเผ่า กล่าวด้วยว่า


ตนขอย้ำว่าเรื่องราวที่พี่ชาย แม่และภรรยาของตนให้สัมภาษณ์ทางสื่อล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น พอโรคเริ่มทุเลา สติมันก็คืนมา รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ตอนนี้รู้สึกแย่มากกับ "หัวหน้ากลุ่ม" และพวก พวกเขามีความรู้สูงน่าจะใช้ในทางที่ถูกต้องให้เป็นคนดีในสังคม

มันทำให้ตนรู้ว่ามีคนอีกพวกหนึ่ง ที่ยอมทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ

โดยไม่แคร์ถึงผลที่จะเกิดตามมาต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่น และมั่นใจว่าครอบครัวตนจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดไม่อย่างนั้นเขากับพวกจะไปทำกับคนอื่น ๆ อีก และถ้าตนเจอหน้ากับพวกเขา ก็อยากจะบอกว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

หมอเผ่า กล่าว อีกว่า


โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าไม่ว่าคนที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิเท่าใดลองมาเจอกลุ่มคนที่วางเป้าหมายยาวนานหลายปี และมีความตั้งใจสูงร่วมกับใช้ยาและจิตวิทยาหมู่ด้วยอย่างที่ผมโดน ผมว่าก็พลาดได้อย่างที่ผมเป็น ยิ่งพอป่วยแล้วยิ่งบานปลายมาก ผมมั่นใจว่าถ้าผมไม่ป่วย เรื่องราวคงไม่เกิดหรือคงไม่วุ่นวายอย่างนี้"

เมื่อถามว่า ความสัมพันธ์ของ นพ. ประกิตเผ่า กับ "หัวหน้ากลุ่ม" มีความเป็นมาอย่างไร


และกลุ่มนี้มีพฤติการณ์อย่างไร นพ. ประกิตเผ่า หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า ตนคงจะพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะจะมีผลต่อรูปคดีที่ฟ้องร้อง กันอยู่ เอาเป็นว่า ตนเคยรู้จัก แต่ตอนนี้ตนไม่อยากรู้จักพวกเขาแล้ว

คิดว่าตัวเองหายป่วย 100% หรือยัง

นพ.ประกิตเผ่า ตอบอย่างมั่นใจว่าหาย 100% อีกทั้งแพทย์ที่รักษาตนก็ยืนยัน แต่ยังคงต้องทานยาอย่างต่อเนื่องอีกหลายเดือน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์