ชาวไทยพุทธปวดหัวใจเข้าร้ององค์กรโนอิ้ง บุดด้า ยื่นหนังสือถึงสำนักพุทธฯ หลังร้านสุกี้แห่งหนึ่งในไตหวัน ใช้เศียรพระประดับตกแต่งร้าน อ้างให้ลูกค้าเกิดความสว่างและสงบ ขณะทานอาหาร
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์
กรณีเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา แฟนเพจบีบีซีไทยได้นำเสนอภาพร้านอาหารแห่งหนึ่งในไต้หวัน ซึ่งใช้พระพุทธรูปในการแต่งร้านกว่า 200 เศียร ทำให้หลายคนมองว่า เป็นความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากพระพุทธรูปเป็นสิ่งที่ชาวไทยเคารพ กราบไหว้ บูชาเสมือนเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า และอาจทำให้ศาสนาเสื่อมเสียจากการกระทำดังกล่าว ทั้งนี้ชาวพุทธที่อาศัยอยู่ที่กรุงไทเป ได้เข้าร้องเรียนกับทางองค์กรโนอิ้งบุดด้า เพื่อการปกป้องพระพุทธศาสนา (KnowingBuddha Organization- KBO) พร้อมทั้งเรียกร้องให้ชาวไทยพุทธทุกคน ร่วมรณรงค์ให้หยุดการกระทำอันเป็นการดูหมิ่นพุทธศาสนาและสุดสลดหดหู่ใจนี้
เกี่ยว กับเรื่องนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” ได้รับการเปิดเผยจาก อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล ปธ.องค์กรโนอิ้งบุดด้า ว่า
ขณะนี้เตรียมยื่นหนังสือถึงสำนักพุทธศาสนาในไต้หวัน ให้หยุดยั้งกรณีร้านภัตตาคารสุกี้ในไทเปชื่อ “TienShui Yueh Hotpot” ใช้พระพุทธรูปกว่า 200 เศียรมาประดับทั่วร้าน เพื่อตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศคล้ายกับวัดพุทธ ซึ่งอ้างว่าให้ลูกค้าเกิดความสว่างและสงบขณะรับประทานอาหาร นอกจากนี้องค์กรฯ ยังส่งจดหมายประท้วงไปยังผู้บริหารร้านสุกี้อีกด้วย โดยขอให้ปลดเศียรพระออกทั้งหมด เพื่อเป็นการหยุดยั้งการกระทำที่ลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้
“ชาวพุทธผู้ ศรัทธาต้องเข้าใจถึงคำว่า ปล่อยวาง มิใช่ปล่อยปละละเลย แต่ยังมีคนบางกลุ่มพยายามทำตนทวนกระแสว่า เป็นเพียงอิฐหินปูนทราย เป็นสิ่งที่น่าสลดใจมากที่ความฉาบฉวยและการปล่อยปละละเลยทำให้การลบหลู่ รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งนี้ทางองค์กรฯได้เริ่มทำการรณรงค์ผ่าน www.5000s.org เพื่อล่ารายชื่อสนับสนุนแสดงพลังของชาวพุทธโดยตั้งเป้าไว้ที่ 500 รายชื่อ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมลงรายชื่อเกือบ 200 รายชื่อแล้ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง” ปธ.องค์กรโนอิ้งบุดด้า กล่าว
ขณะที่ ดร.สมชาย สุรชาตี โฆษกสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว หรือมีองค์กรใดติดต่อเข้ามาร้องเรียน
แต่หากมีทางสำนักพุทธศาสนาก็จะต้องดำเนินการส่งหนังสือไปยังกระทรวงต่าง ประเทศ เพื่อให้สถานทูตที่ประจำอยู่ในประเทศนั้น ๆ เป็นผู้ดำเนินการชี้แจงเหตุผล ของความไม่เหมาะสมทั้งหมด เนื่องจากสำนักพุทธศาสนาไม่มีองค์กรประจำอยู่ที่ต่างประเทศ..