(5 มี.ค. 58) พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
เปิดเผยว่า หากพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย และพระลูกวัดที่ถูกดีเอสไอออกหมายเรียกให้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.เป็นต้นไป ไม่มาตามหมายเรียก เจ้าหน้าที่ก็จะออกหมายเรียกซ้ำอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกซ้ำหลายครั้งแล้ว แต่ผู้ถูกออกหมายเรียกไม่ยอมมาเข้าพบ หรือมีเจตนาและพฤติกรรมในลักษณะหลบเลี่ยงหลบหนี เจ้าหน้าที่ก็จะขออำนาจศาลออกหมายจับโดยทันที
"ส่วนตัวเชื่อว่าพระธัมมชโยจะเข้ามาให้ปากคำตามหมายเรียกแต่ถ้าไม่มาก็จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย" พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ กรณีการสอบสวนพระธัมมชโยและพระลูกวัด เป็นส่วนหนึ่งในคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอตรวจสอบการสั่งจ่ายเช็คจำนวน 878 ฉบับ ลงนามโดยนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ ในจำนวนนี้มีการสั่งจ่ายให้พระธัมมชโยและพระลูกวัด 15 ฉบับ มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท
ด้าน พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า คดีการยักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ปปง.จะรับผิดชอบเฉพาะเรื่องทรัพย์ที่ได้มาผิดชอบเฉพาะเรื่องทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด แต่จะไม่ยุ่งเรื่องคดีอาญา
"บุคคลใดรับทรัพย์สินที่ได้ไปจากการฟอกเงิน ปปง.ก็จะดูว่าเจตนาหรือไม่ ถ้าชี้แจงได้ก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน แต่ทรัพย์จะต้องถูกอายัด คล้ายกับกรณีรถหรูของนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ นักแสดงชื่อดัง" พ.ต.อ.สีหนาท กล่าว