เส้นใต้บรรทัด
จิตกร บุษบาพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เขียนหนังสือธรรมะออกมามากมาย แต่ท่านไม่เคยอนุญาตให้ใครใช้ภาพของท่านเป็นภาพปก และไม่เคยคิดค่าลิขสิทธิ์ ท่านให้เหตุผลง่ายๆ ว่า “เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของอาตมา”
นี่คือ “พระดี” พระที่มีธรรม จึงตระหนักชัดว่า เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่หากินกับธรรมะนั้น ไม่หาชื่อเสียงจากธรรมะนั้น และแสดงธรรมะนั้นๆ ออกมาอย่างเคารพบรมครู ไม่ล้างครู ไม่แอบอ้าง ไม่สร้างตนเองเป็นเจ้าลัทธิ
นายวิทเยนทร์ มุตตามระ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “ฟ้าวันใหม่” นำหลักคิดแบบนี้ไปอธิบายในรายการ “ต่างคนต่างคิด” ทางอัมรินทร์ทีวี โดยพูดถึงกรณีเงินบริจาคที่ญาติโยมถวายพระ เขาถวายให้แก่ความเป็นพระ ไม่ใช่ให้ต่อนายนั่น-นายนี่ สมบัติทั้งหลายที่ได้มาขณะเป็นพระ เพราะศรัทธาจากญาติโยมนั้น วิทเยนทร์ใช้คำว่า เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา พระดีๆ จะไม่เอาไปเป็นของตน หรือเป็นสมบัติส่วนตัว
แต่ “นางสาวลีลาวดี วัชโรบล” อดีตรองนางสาวน่าน รองนางสาวไทย ดารา พิธีกร นักร้อง ก่อนที่จะมีร่างกายใหญ่โตอย่างในปัจจุบัน และเป็นอดีต สส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งร่วมอยู่ในรายการด้วย กลับมีมุมมองที่ต่างไป
ลีลาวดีมองจากตัวเองว่า วัดบางวัดเธอเข้าไป เธอก็ไม่ศรัทธา เพราะพระในวัดนั้นๆ ปฏิบัติตัวไม่งาม ไม่น่าศรัทธาเลื่อมใส แต่กับหลวงพ่อธัมมชโย ลีลาวดีมีความเลื่อมใสด้วยใจจริง จึงมองว่า ญาติโยมไม่น้อย ที่มีความศรัทธาต่อตัวพระ คือ พระธัมมชโยโดยตรง ดังนั้น หลายคน หลายครั้ง จึงไม่ได้เอาเงิน เอาที่ดินมาถวายกับวัดพระธรรมกาย แต่เจาะจงถวายกับหลวงพ่อ เธอใช้คำว่า “พระก็ต้องกินต้องใช้นะคะ” คนดูอย่างเราจึงรู้ว่า มุมมองของคนสองคนนี้ ต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงปฏิบัติและเรียกร้องต่อวัดพระธรรมกายกับพระธัมมชโยต่างกันโดยสิ้นเชิงวิทเยนทร์บอกลาหลวงพ่อนะจ๊ะมานานแล้ว แต่ลีลาวดียังดื่มด่ำกับการทำสมาธิและฟังเทศน์ที่วัดนี้อยู่ ยังมีความศรัทธาต่อการสอน การทำบุญ การรับเงินบริจาค และพิธีกรรมทั้งหลายที่วัดจัดขึ้น
เมื่อวิทเยนทร์ถามถึงการสอนที่คลาดเคลื่อนไปจากพระไตรปิฎก แล้วเปิดคลิปธัมมชโยพูดถึง “อายตนนิพพาน” แล้วบอกว่า “นี่ สอนผิด” สอนไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า เป็นการบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนา เราในฐานะหุ้นส่วน คือ พุทธบริษัท ต้องทำหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนา
ลีลาวดีก็สวนขึ้นทันทีว่า เรื่องพระไตรปิฎกนั้น เธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันหรอก มันยากมาก และเกิดขึ้นมาเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระพุทธศาสนาท้าทายต่อการพิสูจน์ เธอก็เข้าไปแล้วพบความสุข ปีติ เบิกบาน ครอบครัวมีความสุข มีรอยยิ้ม ไม่มีความสงสัยอะไรในตัวพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยเลย รู้แต่ว่าเธอเข้าวัดนี้แล้วมีความสุข ได้ฝึกนั่งสมาธิ ทำให้ใจเธอสบาย จากที่เคยเที่ยวเตร่ นอนไม่หลับ และอื่นๆ ที่รุมเร้าอีกสารพัด ก็หายไป นอนหลับ มีความสุข ยังชวนสมาชิกในครอบครัวไปที่วัดด้วยกัน
ไปดูที่ต่างประเทศ อย่างที่เยอรมนี เธอก็ได้เห็นฝรั่งที่เขาสนใจมานั่งสมาธิ มากวาดลานวัด
“คนในประเทศที่เขาสนใจเรื่องเหตุเรื่องผลมากๆ เขายังมาทดลองด้วยตัวเองเลย วัดพระธรรมกายไม่ได้สอนอะไรมาก ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนิพพานว่าเป็นอะไรกันหรอก เอาแค่นั่งหลับตาแล้วสำรวจตัวเอง จับผิดตัวเองให้ได้ ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงโลกหรอก เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนดีก็พอแล้ว
วิทเยนทร์ก็บอกเธอว่า “ถ้าไม่ได้บอกว่าเป็นพระพุทธศาสนาก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่ถ้าเป็นพระพุทธศาสนา เราก็ต้องเดินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เดินตามแก่นของพระพุทธศาสนา คือไปให้ถึงการพ้นทุกข์ ไม่ใช่วนเวียนอยู่กับความสุขหรือยุติอยู่แค่การนั่งปฏิบัติตรงนั้น”
ลีลาวดีบอกว่า “วัดวัดหนึ่ง เดิมเป็นวัดเล็กๆ อยู่ที่ปทุมธานี มีคนเข้าวัดแค่หลักร้อยหลักพัน ปัจจุบันคนเข้าเป็นแสน คนที่เดินทางมา มาตั้งแต่เช้าจนเย็น มาด้วยความศรัทธา มานั่งสมาธิ ถามว่านั่งสมาธิแล้วคุณได้อะไร ก็ได้สำรวจตัวเอง ได้ความสุขกลับไป เปรียบเทียบพระธรรมคำสั่งสอนเหมือนอาหารที่กิน ดิฉันมีความรู้สึกว่าดิฉันชอบรสนี้ ดิฉันได้กินแล้วมันอิ่ม มันอร่อย ดิฉันก็ไปกินเรื่อยๆ แต่คนไม่ได้มากิน แล้วก็มาบอกว่าไม่อร่อย บางคนแพ้กุ้ง มากิน แล้วก็บอกว่าไม่ดีเลย แต่คนอื่นเขากินแล้วเขามีความสุข สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาดี ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันมีความสุข”
วิทเยนทร์ทำหน้าเหนื่อยหน่าย แล้วพูดว่า “มันเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัทที่จะปกป้องพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธศาสนา ถ้าเราเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วเราไม่มาปกป้อง”
ลีลาวดีก็สอดขึ้นทันทีว่า “เรื่องของการปกป้องพระพุทธศาสนา น่าจะเป็นเรื่องของการกันไม่ให้คนทำชั่วมากกว่า แต่ที่วัดพระธรรมกายทำ คือสอนให้คนทำความดีมากกว่านะคะ”
ครั้นวิทเยนทร์พูดถึงความสุจริต การตรวจสอบได้ และยกตัวอย่างเรื่องการรับเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นมา ซึ่งบัดนี้รู้แล้วว่าเป็นเงินที่ทุจริต ยักยอกมาจากคนอื่น ก็น่าจะคืนเงินให้
ลีลาวดีก็ได้กล่าววาทะที่กำลังกระฉ่อนโลกโซเชียลอยู่ในเวลานี้ว่า “เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าสมมุติว่า ลูกของคุณไปขโมยเงินมา เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็สร้างบ้านเรียบร้อยแล้ว เป็นบ้านแล้วนะคะ ค้นพบว่าลูกไปโกงเขามา ต้องทุบบ้านทิ้งมั้ยคะ”
วิทเยนทร์บอกว่าไม่ต้องทุบหรอก แต่ต้องไปหาเงินมาคืนเขา เธอก็เถียงอีกว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเงินก้อนไหนเป็นเงินอะไร เฮ้ออออ!!!
ฟังทั้งหมดที่ผมเล่ามา จะเห็นว่า วิทเยนทร์เป็นพุทธศาสนิกชนชัดเจน คือ ตระหนักรู้ในศีล สมาธิ ปัญญา รู้หน้าที่ของพุทธบริษัท ไม่หลงงมงาย ศึกษาไปไกลถึงแก่นสารในพระไตรปิฎก แต่ลีลาวดีนี่ไม่ใช่ เธอเป็นได้แค่ “สาวก” ของ “สำนักปฏิบัติสมาธิ” ที่ชอบเรี่ยไรเงินทำบุญอยู่เป็นนิตย์ เธอบอกด้วยซ้ำว่า “มีอีกก็ทำอีก เพราะทำแล้วมีความสุข”
เธอเป็นแค่ผู้ป่วยในทางโลก ที่กินยาสมาธิแล้วพบสุข
เธอหาใช่ชาวพุทธไม่ ซึ่งน่ากังวลใจ ว่ามีคนแบบเธออีกกี่คน ในช่วงเวลาที่เรากำลังตรวจสอบว่า “โล้นห่มเหลือง” ใช้ผ้าเหลืองและพระพุทธศาสนาไปหลอกหากินกับคนป่วยและคนเขลา และเราควรกำจัดเหลือบในพระพุทธศาสนานี้อย่างไร!!