“หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นสังฆราชหรอก แต่หลวงพ่อต้องการครองโลก โลกทั้งใบ”
ประโยคคำพูดที่ตราตรึงอยู่ในใจของ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตพระสงฆ์องค์สำคัญแห่งวัดพระธรรมกายนับตั้งแต่ได้รับฟังยังคงอยู่ในห้วงความคิดของเขาจนถึงปัจจุบัน และคนที่พูดคำนี้หาใช่ใครอื่น
“พระธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย คือเจ้าของคำพูดนั้น บ่งบอกได้ชัดเจนถึงแรงปราถนาอันแรงกล้าอย่างน่ากลัว ของผู้นำความคิดแห่งวิชาธรรมกาย
ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิอกภูมิใจตามความคิดของคู่สนทนา ที่เข้ามาจับเข่าคุยกับนพ.มโน อดีตศิษย์รัก ศิษย์คนสำคัญของพระธัมมชโย อดีตที่เคยไว้วางใจบอกทุกเรื่องราว “หมอมโน” แยกทางจากพระธัมมชโย เมื่อปี 2541 เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมสงฆ์ของพระธัมมชโย พร้อมชำแหละถึงด้านมืดและความเสื่อมของพระธัมมชโย ที่แปรเปลี่ยนวัดพระธรรมกาย รวมถึงพุทธศาสนาให้ผิดเพี้ยนจนเกิดความเสื่อมไปทุกระแหง
ขาดความรัก พ่อแม่แยกทาง
นพ.มโน เปิดฉากเล่าว่า ในช่วงวัยรุ่น พระธัมมชโยในคราบของนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพื่อนร่วมรุ่นก็มีอยู่ในพรรคเพื่อไทย เช่น ปลอดประสพ สุรัสวดี และเขาเป็นคนที่ใฝ่ความรู้ ชอบอ่านหนังสือ และแผงหนังสือย่านสนามหลวงคือที่สิงสถิตย์ ส่วนใหญ่แล้วพระธัมมชโยจะมักไปยืนอ่านหนังสือฟรี เพราะไม่มีสตางค์จะไปซื้อมาเป็นของตัวเอง และหนังสือที่ชอบมากที่สุดคือประวัติศาสตร์บุคคล
“มาวันหนึ่งตอนแกอยู่ชั้นมศ.4 มาอ่านหนังสือที่สนามหลวง ไปเจอเรื่องปาฏิหารย์ แม่ชีคุณยายจันทร์ปัดลูกระเบิด แกเลยดิ่งมาหาคุณยายจันทร์ที่วัดปากน้ำทันที มานั่งสมาธิกับคุณยายจันทร์เรื่อยมา ซึ่งตอนนั้นคุณยายจันทร์เอ็นดู ดูแลมาตลอดเพราะสงสาร และเริ่มสอนการบอกบุญ ให้ทุนการศึกษากับธัมมชโย และได้เข้าเรียนที่ม.เกษตร คณะเศรษฐศาสตร์”
“เขาชอบศึกษาบุคคลที่สำคัญๆ ว่าเขาสำคัญมาได้อย่างไร คนที่ชอบมากที่สุดเรียกว่าบูชาเลยก็ว่าได้คือ "อดอฟต์ ฮิตเลอร์" ผู้นำเผด็จการพรรคนาซี ถือเป็นบุคคลในฝันของธัมมชโย และใช้เป็นต้นแบบในการบริหารวัดพระธรรมกายอีกด้วย ส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบอาจจะมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ทั้งวันเกิดที่ฮิตเลอร์เกิดวันที่ 21 เม.ย. แต่พระธัมมชโยเกิดวันที่ 22 เม.ย. เวลาตกฟากเดียวกัน และที่สำคัญคือเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน นั่นจึงสะท้อนแนวคิดของพระธัมมชโยว่าทำไมเขาจึงอยากครองโลก”
อดีตในวัยเยาว์ของพระธัมมชโย เป็นเด็กที่มีปมด้อย เนื่องว่าพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ได้ขวบปี และต้องระเห็จไปอยู่บ้านญาติชนิดที่เรียกว่าย้ายบ้านทุกเดือน และโหยหาความรักมาตลอด แต่จุดเด่นคือ ให้เกิดความละเอียดอ่อนในตัวเองจะเป็นคนที่จ้องความรู้สึกของคนอื่นอยู่ตลอด และมีคำถามว่าคนนี้รักเราหรือเปล่า ทำอย่างไรเขาจะรักเราให้มากที่สุด
“และข้อเสียจากความผิดพลาดในครอบครัว ก็เป็นแรงผลักดันให้พระธัมมชโยเกิดความทะเยอทะยาน ด้วยว่าทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องเป็นใหญ่ จึงเกิดการอยากได้ทุกอย่าง อยากได้อำนาจ ถ้าได้โลกทั้งโลกก็เอา นี่คือตัวตนของเขา” หมอมโน ย้อนภาพให้เห็น
เป็นเชียร์ลีดเดอร์เกษตร คุมคนนับพัน
นพ.มโน เล่าว่า แต่แววผู้นำของพระธัมมชโยมามาเห็นชัดที่สุด คือได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เก่งถึงขนาดคุมคนนับพันให้เชื่อฟังได้ ยังไม่พอพระธัมมชโยหรือในขณะนั้นคือนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ยังเป็นหัวหอกยืนจังก้าใส่กางในตัวเดียวขับไล่อธิการบดีของมหาวิทยาลัยฯ อีกด้วย
“เขามีแววการเป็นผู้นำตั้งแต่ต้น โดยได้เป็นผู้นำเชียร์ลีดเดอร์ของม.เกษตร ถือว่าไม่ง่ายนะ เพราะต้องมีทริคในการคุมคนเป็นพันให้เชื่อฟังเรา ให้เงียบ และทริคนี่เองทำให้รู้จักวิธีคอนโทรลว่าทำอย่างไรให้เงียบ ทำไงให้เดินเป็นแถว และวิธีนี้เองที่นำมาใช้กับคนหมู่มากในวัดพระธรรมกาย แกเป็นผู้นำในกิจกรรมของนักศึกษา ตอนนั้นที่สำคัญคือการประท้วงเดินขบวนไล่อธิการบดี มจ.จักรพันธ์ฯ สมัยก่อนโดนธัมมชโยไล่ ยืนใส่กางเกงในตัวเดียวตะโกนเรียกอธิการบดีมาคุยด้วย มีความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง
“เขาเอาระบบของม.เกษตรมาใช้ และระบบการบริหารของฮิตเลอร์ตอนมานุ่งผ้าเหลือง วิธีการคล้ายกัน เพราะ ฮิตเลอร์สร้างลัทธินาซีขึ้นมาโดยเริ่มจากเยาวชน นักศึกษามหาวิทยาลัย พอได้มาแล้วก็เข้าสู่พวกนักธุรกิจ และปลุกผีให้เกลียดพวกยิว ระดมเงินจากนักธุรกิจมาตั้งพรรคนาซี ไม่ต่างจากวัดพระธรรมกายที่เริ่มจากเยาวชน
นพ.มโน เล่าว่า ตอนนั้น พระธัมมชโยเองไม่เคยสนใจว่าควรทำธุรกิจหรือไม่ควรทำธุรกิจ เพียงแต่ต้องการหาช่องทางเพื่อดันตัวเองให้สู่ความยิ่งใหญ่ แกเคยพูดกับผมประโยคหนึ่งว่า “หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นสังฆราช แต่หลวงพ่อต้องการครองโลก” แนวคิดเดียวกับฮิตเลอร์เป๊ะ ไปดูการจัดแถวของธรรมกายได้กับภาพการจัดงานของฮิตเลอร์ปานถอดแบบมา แกเดินตรวจในฐานะผู้นำ ฮิตเลอร์เป็นอย่างไรในที่ประชุม แกก็ทำตาม
ลัทธิลับ สอนเฉพาะคนสนิท
“พระธัมมชโยก็บอกว่าการบริหารวัดในรูปแบบนี้คือลัทธิธรรมกาย เป็นลัทธิลับ สอนให้เฉพาะคนสนิทใกล้ชิดเท่านั้น หรือที่รักจริงๆ แต่ธรรมกายแตกต่างจากวัดปากน้ำ คือ หลวงพ่อสดคนเดียว ตอนเทศ 93 กัณฑ์ มีประโยคทองอยู่วรรคหนึ่งว่า เมื่อผู้เทศน์ได้เข้ามาบวช จึงได้รู้ว่าพระต้นธาตุใช้ให้มาปราบมาร หากปราบไม่สำเร็จจะยอมตายที่วัดปากน้ำแห่งนี้ ซึ่งท่านก็ตาย ปราบไม่สำเร็จ แต่การปราบมารของท่าน คือการเข้าไปพบโลกอีกโลกหนึ่ง หรืออีกขั้วหนึ่งของธรรมกายที่ดำมืด เป็นมาร เป็นอีกมิติหนึ่ง ดังนั้น จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างด้านสว่างกับด้านมืด ท่านต้องการขจัดตรงนี้ออกไปให้หมด เข้าไปบู๊ไปล้างผลาญมุมมืด”
แก่นแห่งการชักนำจูงผู้คนให้หันเข้าหาตามวิชาพระธรรมกายสำหรับพระธัมมชโย คืออ้างอิงเรื่องบุญ ทำให้คนกลัว และให้อยากได้บุญ วิธีคือจะเป็นการคุมบุญทั้งหมดที่อ้างว่าได้รับมาจากพระพุทธเจ้าจากชั้นนิพพาน เพื่อให้พระธัมมชโยแจกจ่ายบุญนั้นให้กับประชาชน แลกกับการซื้อบุญ
“ใครที่เลวมาจากไหน โกงใครมา ทำผู้คนย่อยยับ มาล้างบาปซื้อบุญกันที่นี้ได้หมด เสียเท่าไหร่เท่ากันแต่ได้บุญ สั่งให้บุญใครก็ได้ ให้มั่งคั่งให้รวย ขณะเดียวกันจะลงโทษใครที่ไม่ทำตามคำสั่ง ก็อ้างบุญเช่นกัน ขู่ญาติโยมต่างๆ จะเอาบุญสำหรับที่จะใช้ไปใส่เซฟ ในคุกลับ ตายไปไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นพันๆ หมื่นๆ ชาติ คนก็กลัว กลัวก็ต้องทำตาม”
กลเม็ดในการคุมคนจึงเกิดขึ้นตามมา ขณะที่พระธัมมชโยตัดสินใจมานุ่งผ้าเหลืองและพกพาความคิดตามบุคคลที่เขาบูชาติดตัวมาด้วย และสิ่งนี้เองที่แปรเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล จากวัดกลายเป็นธุรกิจ มีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวัดล้วนแต่ขัดหลักธรรมคำสอนตามพุทธศาสนา กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายระหว่างศิษย์รักกับพระอาจารย์ที่เคารพรักนับถือกัน ได้สะบั้นลง
ธุรกิจ จุดแตกหัก
“ผมมารู้เพราะใกล้ชิดกันมากเหมือนกับญาติ เหมือนกับพ่อแม่เราเอง ผมเป็นศิษย์รัก เรารู้นิสัยทุกอย่างของเขา ผมทำงานให้ทุกอย่างด้วยผลลัพธ์ที่สำเร็จ งานทุกอย่างที่เขาหวัง ที่อยากได้ ผมเนรมิตรให้ได้หมด กระทั่งเรียนจบจากอ็อกซ์ฟอร์ด ตอนนั้นเป็นตอนที่เศร้าที่สุด ญาติโยมเอาเอกสารมาให้ดูว่าเขาเปิดบริษัทอะไรไว้บ้างเมื่อปี 2526 เอาเงินส่วนตัวมาตั้งบริษัท ไว้หลายแห่ง บางแห่งใช้ชื่อลูกศิษย์เพื่อทำธุรกิจต่างๆ แต่ที่หนักที่สุดคือมีบริษัทค้าอาวุธที่เชื่อมโยงไปถึงพระธัมมชโยด้วย เพราะมีการชักจูงจากสีกาคนหนึ่งที่มีพี่ชายเป็นนายพลทหารในสวนรื่นฯ เข้ามาซื้อขายอาวุธให้กับทางกองทัพ ผมเข้าไปเตือนเขาว่าให้หยุดเถอะ ไม่ดี แต่เขากลับตอบมาว่าอย่ามายุ่ง นี่คือเรื่องส่วนตัว เท่านั้นผมก็พอ เพราะไม่ใช่พุทธแล้ว นี่คือธุรกิจของธัมมชโย เพื่อต่อยอดให้เขาได้ความยิ่งใหญ่”
“ตอนนั้นผมชนกับท่านอย่างรุนแรงเมื่อปี 2532 ผมกะว่าท่านแย่แน่นอน เพราะทำอะไรผิดพลาดไว้เยอะ แต่ผมต้องการจะช่วยวัดเอาไว้ก่อน ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างบริหาร ประชุมอยู่นาน เพื่อกระจายอำนาจการบริหารวัดพระธรรมกาย แต่ผมเอาไม่อยู่ เขาจึงเขียนโครงสร้างออกมามีธรรมนูญการปกครอง และตอนนั้นเองมีโครงสร้างที่แน่นหนามาก มีแผนงานชัดเจนแบบสมัยใหม่ วิธีหล่อหลวมผู้คน เรียกว่ามั่นคง เป็นอาณาจักร มีแผนขยายตัวไปต่างประเทศ แบบที่ทุกอย่างยังเป็นธรรมกายอยู่ มีการระดมทุนตลอด และการเคลื่อนไหวทุกอย่างจะคู่ขนานไปกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่เข้ามาสนับสนุน มันน่ากลัวมาก
อดีตศิษย์พระธัมมโชย เล่าว่า ต่อมาเมื่อปี 2542 ธรรมกายถูกโจมตีอย่างหนัก แต่เพราะโครงสร้างอันนี้ ทำให้ พระธัมมชโยรอดพ้นเงื้อมมือของกฎหมาย นั่นเพราะความแน่นหนาของโครงสร้าง มีฐานมวลชนมหาศาลเป็นกำแพงให้พิง มีความรัดกุมมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน เจตนาของโครงสร้างธรรมกายครั้งนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ช่วยเหลือผู้คน แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง และรวบอำนาจนั้นมาอยู่ในมือทั้งหมด ทำให้พระธัมมชโยใช้อำนาจได้มากขึ้น ก็รวบอำนาจไว้อย่างเดิม แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“มีการแบ่งหน่วยงานชัดเจน ถ้าคุณได้ฟังในที่ประชุมของธรรมกายนะ คุณจะเหมือนไปอยู่เมืองนอกเลย หรืออีกโลกหนึ่งเลย เขาจะมีศัพท์เฉพาะที่เข้าใจระหว่างกัน มีโคทภาษา ธรรมนูญการปกครองของวัดมีเป็นปึก คุณจะไม่เข้าใจได้เลย นักธุรกิจที่เข้ามาก็มาใช้ประโยชน์ เพราะมีฐานมวลชนอย่างแน่นหนาและมหาศาล เป็นการระดมธรรมคู่ระดมทุน”
ขยายฐาน การเมือง มวลชนนับล้าน
เมื่อชื่อเสียงมากมาย และมีระบบการปกครองภายในวัดที่แน่นหนา ยากที่คนนอกจะเข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายได้ หนำซ้ำยังมีมวลชนอีกจำนวนนับล้านที่หลงเชื่อคอยหนุนหลังพระธัมมชโย นพ.มโนมองว่าจึงไม่แปลกที่ทั้งนักธุรกิจและนักการเมือง รวมถึงบุคคลสำคัญระดับประเทศ จะวิ่งเข้ามาพระธัมมชโย เพื่อสร้างผลประโยชน์ระหว่างกัน
นพ.มโน ยกตัวอย่างให้เห็นถึงวิธีการเอื้อผลประโยชน์ระหว่างกัน เช่นคดี ศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหาฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่เข้าหาพระธัมมชโยเพราะเห็นมวลชน มาตกลงทำสหกรณ์เครดิตมงคลเศรษฐีขึ้นมา คือให้กู้สำหรับคนที่อยากทำบุญกับวัด ผ่อนได้ คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 คนให้ทุนจะได้ผลตอบแทนร้อยละ 8 ผู้คนจึงแห่เอาเงินมาลงทุน เพราะอย่างไรเสียก็อยู่กับวัด และมีพระธัมมชโยการันตีอีกด้วย
แต่เงินตรงนี้มีการแบ่งระหว่างศุภชัยและพระธัมมชโย มีการถ่ายเงินออกเป็นระลอกโดยการเอาไปฝากกับลูกศิษย์คนต่างๆ นับร้อยล้านบาท และโอนย้อนกลับมาตรงมายังพระธัมมชโย และเจ้าอาวาสคนดังก็ใช้เงินตรงนี้ในนามของวัด และมูลนิธิเข้าไปซื้อที่ดินต่างๆ แต่ถือครองเอง เป็นกรรมสิทธิ์เอง เมื่อหน่วยงานรัฐเข้าไปตรวจสอบก็ไปยึดไม่ได้ จะยึดได้อย่างไรในเมื่อซื้อในที่วัดที่เป็นของหลวงอยู่แล้ว แต่จริงๆ คือการสร้างอำนาจให้ตัวเองยิ่งใหญ่มากขึ้น
“เมื่อเงินคนหายก็มีการร้อง แต่จะเอาผิดได้อย่างไรเมื่อคนการเมืองก็ยังเป็นคนของเขา รัฐบาลชุดก่อนจะทำอะไรได้ เมื่อมีอำนาจการเมืองหนุนอย่างนี้ขณะนั้นจะเอาผิดเขาได้อย่างไร กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปดูก็บอกว่าไม่มีมูล ทำคดีไม่ได้ คนก็โวยกันใหญ่ว่าเงินกูหาย เงินสะสมทั้งชีวิตกลายเป็นแค่เศษกระดาษ นี่มันทำร้ายประชาชนใจร้ายมาก คนๆ นี้ไม่เคยปราณีกับใคร คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ยังมีคนหนุน ดังนั้น เขาไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น ใครจะด่าจะว่าช่างมัน กูไม่สน ทุกวันนี้ธรรมกายเป็นองค์กรข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กระจายไปแล้วถึง 200 ประเทศทั่วโลก”
ประเมินทรัพย์ธรรมกาย 25 ปี 5 หมื่นล้านบาท
เมื่อถามว่า ประเมินทรัพย์สินของวัดธรรมกายเท่าไร นพ.มโน บอกว่า “เมื่อปี 2533 ธัมมชโยบอกกับผมว่า แกมีทรัพย์สมบัติมากกว่าที่วัดและมูลนิธิมีถึง 5 เท่า ขณะนั้นวัดและมูลนิธิมีทรัพย์สินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แสดงว่า 25 ปีก่อนแกมีมากถึง 5 หมื่นล้านบาท และทุกวันนี้จะงอกเงยไปถึงขนาดไหน”
กระหน่ำต่อจากคำพูดของอดีตศิษย์เอกว่า เป้าหมายของเขาคือการครองโลก ทำให้มีศิษย์เยอะที่สุด และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของโลกตามรูปแบบธรรมกาย กลไกการยุติธรรมทั้งหมดเคยมีไหมที่สั่งให้ถอนคดีของพระธัมมชโยทั้งหมดรวม 52 คดี แม้แต่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของ พระธัมมชโยยังถูกถอดออกเช่นกัน เขาใหญ่แค่ไหนคิดกันเอาเอง
“เหตุผลคือมวลชนมีมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็วิ่งเข้าหา การเมืองมาหมด เพราะเขามีมวลชนในมือเป็นล้านๆ สั่งให้กระบวนการยุติธรรมล้มลงต่อหน้าทันที เมื่อรัฐบาลก่อนเลือกตั้งชนะ เขาก็ตีปีกทันทีเพราะนี่คือผลงานของเขาทั้งนั้น เขาไม่แยแสต่อกระแสสังคมที่ตั้งคำถาม การยาตราการเดินธุดงค์ที่เป็นข่าวไม่ใช่เผยแพร่ศาสนาอันใดหรอก เขาต้องการโชว์อำนาจเท่านั้น แค่อำนาจเท่านั้นเอง และเรียกเงินเรียกร้องผลประโยชน์ให้ตัวเอง ให้รู้ว่าฉันมีคนนะ มหาเถรสมาคมเขาก็คุมไว้หมดแล้ว”
แต่เมื่อความเสื่อมมาเยือนธรรมกาย ทำไมการโค่นเขาลงอย่างที่หลายคนปราถนาจะให้เกิด จึงกระทำไม่ได้ นพ.มโน พร้อมจะให้คำตอบในฐานะคนเคยอยู่ก้นกุฏิของพระธัมมชโย
“ต้องฝากความหวังไว้ที่บ้านเมืองในยุคทหารเข้ามาควบคุม ถ้าเอาเขาไม่ลงในครั้งนี้ จะเกิดการกินรวบบ้านเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่นอน คุณคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้หรือ เพื่อไทยจะกลับมาแบบสบายๆ ทันที จากนั้นทุกอย่างในประเทศจะเป็นธรรมกายหมด และเกิดจักพรรดิสงฆ์ขึ้นมา เราจะก้าวไปสู่ยุคมืดของศาสนา เป็นประเทศไทยแบบธรรมกาย เขาเปลี่ยนชื่อประเทศยังได้เลย
หมอมโน ย้ำว่า หากเอาไม่ลงเขาจะเป็นมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถ้าไม่ทำ ไม่จัดการเขา ทุกอย่างจะพังหมด อันที่จริงมันผิดมาตั้งนานแล้ว พระไม่ควรจับเงิน ควรแก้ตรงนี้ แต่พระคุณเจ้าทั้งหลายจะยอมปล่อยมั้ย อย่าลืมว่าธัมมชโยดึงไว้ทั้งหมด ให้ชีวิตหรูหรา ตรงนี้น่าดูฝีมือของผู้มีอำนาจแห่งยุคเหมือนกัน”
“มันน่ากลัวมาก ศาสนาทุกอย่างกลายเป็นระบอบทักษิณหมด และอนาคตพระสงฆ์เราจะได้แบบเณรคำ ยันตระ หรือแม้แต่ว่าที่สังฆราช ดูสิรถหรูมีกี่คัน มีเงินเท่าไหร่ แล้วจะให้คนมากราบไหว้ให้เป็นประมุขสงฆ์หรือ อย่างนี้มันปาราชิกมั้ยล่ะ มันสืบทอดอำนาจกัน” นพ.มโน ทิ้งท้าย
เรื่องลับๆ เขาใช้ครีมทาหน้าระดับฮอลลีวู้ด
นอกจากนั้ นพ.มโน ยังเล่าเรื่องลับในวัดธรรมกายด้วยว่า
1.ภายในวัดพระธรรมกายจะมีโรงครัวอยู่ 2 โรง หนึ่งโรงทำให้ญาติโยม พระในวัด ลูกศิษย์ อีกโรงจะทำให้พระธัมมชโยคนเดียว คนอื่นกินไม่ได้ ซึ่งจะเป็นของดีของแพงที่มาปรุงอาหาร ส่วนใหญ่ของอาหารจะเน้นบำรุงร่างกาย เพิ่มความแข็งแรง
2.พระธัมมชโย ชอบความสำอางค์ การประทินผิว และใช้วิทยาศาสตร์ให้ตัวเองมีหน้าเด็กลง ชอบการนวดหน้าด้วยครีมราคาแพงซึ่งใช้กันในหมู่คนมีเงิน หรือดาราฮอลลีวูด มีการนวดหน้าวันละสามครั้งต่อวัน
3.พระธัมมชโยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร เพราะอ้างบุญ หากสงสัยหรือไม่เกิดศรัทธาบุญจะหก
4.ห้องนอนพระธัมมชโยจะปูผ้าปูเตียงใหม่ทุกวัน ในห้องนั้นจะมีสาวคนหนึ่งทำหน้าที่ปูเตียง คนอื่นห้ามเข้าเด็ดขาด เรื่องบิณฑบาตไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่เคยทำ ตื่นตอนไหนตามใจฉัน
5.พระธัมมชโยมีอารมณ์สุนทรีย์ และมีความเป็นศิลปินสูง โดยมีพรสวรรค์ในงานปั้น ชอบปั้นรูปผู้หญิง
อันตรายต่อพุทธศาสนา
คำพูดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ 27 ปีก่อนที่ว่า “เป็นห่วงเรื่องวัดพระธรรมกายมากที่สุด” เหมือนมองทะลุปัญหาจนปรากฏเป็นจริงในปัจจุบัน
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต) ปราชญ์ด้านศาสนา เขียนหนังสือ “กรณีธรรมกาย” บทเรียนเพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา เมื่อปี 2542 สรุปประเด็นของพระธรรมปิฎกต่อมุมมองปัญหาธรรมกาย ดังนี้
1.กรณีธรรมกายหมายถึงชื่อเรียกโดยรวมเกี่ยวกับพฤติการณ์ต่างๆ สรุปแล้วมี 2 ลักษณะ คือ การทำพระธรรมวินัยให้วิปริตและการประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย
2.การทำพระธรรมวินัยให้วิปริตที่พบว่ามีสาเหตุมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทำลายความน่าเชื่อถือของพระไตรปิฎก การปลอมปนคำสอนในลัทธิของตนลงในพระไตรปิฎก การพยายามยกย่องครูบาอาจารย์ของตน ถึงขนาดที่ใช้ทัศนะอ้างเป็นมาตรฐานเพื่อตัดสินหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา รวมถึงอรรถาธิบายชักจูงให้คนทั่วไปเข้าใจว่าบุญมีฐานะเป็นดุจสินค้าชนิดหนึ่งและเมื่อทำบุญจะให้ผลสัมฤทธิ์อย่างปาฏิหาริย์
3.การประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยเฉพาะประเด็นหลัก ได้แก่ การพยายามนำเอาลัทธิทุนนิยมที่อยู่ในระบบการตลาดเข้ามาผสมผสานกับการบริหารวัด รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับบุคคล องค์กรทางธุรกิจ การเมือง ส่งผลให้สำนักวัดพระธรรมกายกลายเป็นสำนักที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทั้งในทางวัตถุ ทุนทรัพย์ และในทางชื่อเสียง แต่วิธีเหล่านี้เป็นพฤติการณ์ที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับพระพุทธศาสนาที่เน้นความเรียบง่ายและไม่เกี่ยวข้องกับระบบทุนนิยม
4.พฤติการณ์อันสืบเนื่องมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทั้งหมดนั้นเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทยอย่างลึกซึ้งถึงรากฐานชนิดที่ว่า ถ้าสำนักวัดพระธรรมกายทำสำเร็จตามจุดมุ่งหมายจะส่งผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาอย่างเถรวาทต้องสูญสิ้น และสังคมไทยก็อาจกลายเป็นสังคมที่มีค่านิยมหวังผลดลบันดาล มัวเมาอยู่ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และถูกหลอกให้เพลินจมอยู่ในสุขอันดื่มด่ำจากสมาธิวิธีที่ถือว่าเป็นมิจฉาสมาธิและเต็มไปด้วยผู้คนที่ตกเป็นทาสของลัทธิทุนนิยม บริโภคนิยม และวัตถุนิยมอย่างงมงาย ไม่อาจหลุดพ้นเป็นอิสระไปจากการครอบงำของลัทธิเหล่านี้ได้