เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.ศวิตา หรือแสงระวี หรือนก มณีจันทร์ อายุ 31 ปี เจ้าหน้าที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงพร้อมด้วย บิดาและมารดา รวมทั้งนายฉลวย สมพงษ์ ตาของน.ส.ศวิตา เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายอภิรุจ สุวะดี อายุ 72 ปี และนางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง, ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานแจ้งความเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา
น.ส.ศวิตา กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นกับตน เพราะเมื่อปี 2546 ขณะนั้นอายุเพียง 20 ปี ตาของตนรู้จักกับนายอภิรุจ ซึ่งเป็นบิดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ต่อมาตนถูกกล่าวหาว่า มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับนายอภิรุจ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการเรียกตนกับทางครอบครัวไปพูดคุยกรณีที่ครอบครัวตนไปแอบอ้างว่ารู้จักกับครอบครัวนายอภิรุจ จนทำให้ฝ่ายนายอภิรุจได้รับความเสียหาย มีคนเอาไปลือกันว่า นายอภิรุจเลี้ยงดูตนในฉันท์ชู้สาว ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะตนอยู่กับครอบครัวมาโดยตลอด
น.ส.ศวิตา กล่าวอีกว่า แม้จะพยายามอธิบาย แต่เขาก็ไม่รับฟังเราในส่วนนี้เลย ทั้งพ่อ แม่ และตาของตน ก็ขอร้องนายอภิรุจแล้วว่า ขอความเมตตากับเราบ้าง แต่วันนั้น เขากลับให้ตำรวจซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง มาดำเนินคดีตนในข้อหาฉ้อโกง โดยศาลแขวงราชบุรี มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2546 ลงโทษจำคุกตนเป็นเวลา 24 เดือน แต่ได้รับการลดหย่อนโทษ เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน หลังจากออกจากเรือนจำมาอยู่กับครอบครัว กลายเป็นว่า ทุกอย่างพังพินาศไปหมด ไม่ว่าจะเป็นพ่อ ที่เมื่อก่อนเคยรับเหมาก่อสร้าง ก็ทำไม่ได้ ต้องไปอยู่ที่อื่นกับแม่ น้าเขย น้าสาว ซึ่งเดิมเคยอยู่ที่จ.ราชบุรี ก็อยู่ไม่ได้ ต้องไปอยู่ที่ท่ายาง จ.เพชรบุรี
น.ส.ศวิตา กล่าวต่อว่า ตาของตนก็ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ เพราะอับอายผู้คน ตนก็ยังคิดว่า หากได้รับความเมตตาบ้าง ก็คงไม่ต้องถูกดำเนินคดี และต้องถูกจำคุกจนมีประวัติติดตัว ออกมาก็มีแค่วุฒิมัธยมศึกษาตอนปลาย และมีประวัติ จะไปสมัครเข้าทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ พ่อ แม่ ก็ใช้ชีวิตอย่างลำบาก จนทุกวันนี้ผ่านมาแล้ว 11 ปี จะพูดกับใครจะบอกกับใครก็ไม่ได้ ทุกคนกลัวกันหมด แม้ถึงขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวพันกับเบื้องสูงที่เขาอ้าง ทำให้ตนไม่กล้าจะทำอะไรเลย