พบศพทารกถูกทิ้งให้ห้องน้ำ ม.ราม คาดแม่ใจยักษ์กินยาขับ ก่อนเอามาทิ้งขยะอย่างไม่ใยดี ตำรวจเร่งหาวงจรปิดมัดตัว ขณะที่นักศึกษาสาวผวาวิญญาณเฮี้ยนได้ยินเสียงทารกร้องในห้องน้ำแต่กลับไม่เจอตัว
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ร.ต.ท.ไพบูลย์ แก้วมณี ร้อยเวร สน.หัวหมาก
ได้รับแจ้งพบศพทารกถูกทิ้งอยู่ในห้องน้ำ ม.วิทยาลัยรามคำแหงถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จึงรีบไปตรวจสอบ พร้อมด้วยแพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในที่เกิดเหตุภายในห้องห้องน้ำหญิงหมายเลข 14 อาคารเคแอลบี พบศพทารกเพศชาย มีอวัยวะครบ 32 ส่วน พร้อมรกและสายสะดือถูกห่อด้วยผ้าขนหนูสีเหลือง วางอยู่ในถังขยะสีฟ้าภายในห้องน้ำดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงนำออกมา เบื้องต้นแพทย์ลงความเห็นว่าน่าจะเสียชีวิตไม่เกินภายใน 24ชั่วโมง ก่อนถูกนำมาทิ้งไว้
จากการสอบถาม นางติ๋ม ประชุม อายุ 40 ปี แม่บ้านทำความสะอาดของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนก็ได้ทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ที่ห้องน้ำหมายเลข 16 จากนั้นตนก็หันไปมองเห็นห้องน้ำหมายเลข 14 เปิดแง้มอยู่ ตนจึงผลักเข้าไปดู ก็พบผ้าขนหนูมีคราบเลือดถูกทิ้งอยู่ในถังขยะเมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นเท้าเด็กโผล่ออกมา ระหว่างนั้นสังเกตเห็นผู้หญิงแต่งตัวคล้ายนักศึกษากำลังยืนล้างมืออยู่ที่อ่างล้างหน้า ตนจึงตะโกนร้องว่า มีเด็กเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำซึ่งตอนนั้น ผู้หญิงคนดังกล่าวได้บอกกับตนว่าให้รีบนำเด็กออกไปไว้ข้างนอก จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสตรวจสอบ เมื่อตำรวจมาดูที่เกิดเหตุก็พบว่าผู้หญิงคนดังกล่าวได้หายไปแล้ว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิฐานว่าน่าจะเป็นนักศึกษาใจแตกที่ยังไม่พร้อม
ได้กินยาขับเด็กหรือไม่ก็อาจจะทำแท้งมาจากที่อื่นเพราะเนื่องจากที่เกิดเหตุไม่พบคราบเลือดหรือร่องรอยการตกเลือดแต่อย่างอย่าง ก่อนจะนำศพเด็กห่อด้วยผ้าขนหนูแล้วนำมาทิ้งไว้ อย่างไรก็จึงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในจุดเกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงเพื่อติดตามแม่ใจยักษ์รายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้าน นักศึกษาหญิงรายหนึ่งระบุด้วยว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ได้นำศพทารกดังกล่าวออกไปแล้ว ได้มีนักศึกษาหญิงหลายราย
เข้าไปทำธุระภายในห้องน้ำดังกล่าว ขณะที่ทำธุระอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เมื่อนักศึกษาทำธุระเสร็จ เปิดประตูออกมา กลับพบว่ายังมีเสียงเด็กร้องอยู่ หลายคนแปลกใจออกเดินสำรวจตามห้องน้ำ แต่ก็พบว่าไม่มีใครใช้ห้องน้ำอยู่เลย ทำให้เกิดความหวาดกลัว บางคนต้องวิ่งหนีเผ่นกระเจิง จึงเชื่อว่า วิญญาณของเด็กคนดังกล่าว ยังวนเวียนอยู่ในพื้นที่ก็เป็นได้.