ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ห้องพิจารณา 805 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีฮั้วประมูลหมายเลขดำ อ.3603/53
ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายโสภณ ใจจันทร์ อายุ 49 ปี เจ้าของ หจก.เชียงใหม่โสภณพาณิชย์ นายอินสม นาระต๊ะ อายุ 62 ปี พนักงานขับรถยนต์ และ นายณัฐภูมิ หรืออ้ายมั่น ขันคำ อายุ 33 ปี ผู้จัดการแผนกนม บริษัทเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันตกลงในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใด ซึ่งมีสิทธิ์ทำสัญญากับหน่วยงานราชการโดยเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ระบุความผิดสรุปว่า
ระหว่างวันที่ 6 ตุลาคม – 18 พฤศจิกายน 2551 จำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมกันตกลงเสนอราคา
เพื่อทำสัญญาจัดซื้อนมโรงเรียนพาสเจอร์ไรซ์และนมยูเอชที ขนาด 200 มิลลิลิตร กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนระดับประถมศึกษา ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ใน จ.เชียงใหม่ 9 พื้นที่ รวม 13 สัญญา โดยใช้กลอุบายและการสมยอมเพื่อกีดกันไม่ไห้ผู้มีสิทธิเสนอราคาอย่างเป็นธรรม โดยทุกครั้งที่มีการประกวดราคาจัดซื้อนมโรงเรียนจำเลยคนหนึ่งคนใดจะเสนอราคากลาง ขณะที่จำเลยคนอื่นจะเสนอราคาที่สูงกว่าราคากลางเสมอ
ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานทั้ง 2 ฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า
ฝ่ายโจทก์มี นายธานินทร์ เปรมปรีด์ พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เบิกความว่า จากการตรวจค้น หจก.เชียงใหม่ฯ ของจำเลยที่ 1 พบหนังสือมอบอำนาจ และตรายางของบริษัทห้างร้านอื่นที่ค้านม ซึ่งจำเลยทั้ง 3 นำไปใช้ในการยื่นซองประกวดราคาต่อสถานศึกษาต่างๆ ซึ่งจำเลยทั้งสามไม่ได้ทำในฐานะส่วนตัว แต่เป็นการทำหน้าที่แทนในลักษณะสมรู้ร่วมคิดกับ บริษัท ห้างร้าน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาลต่างๆ ที่สามารถกำหนดให้ใครเป็นผู้ชนะการประกวดราคาก็ได้ในท้องที่นั้นๆ โดยจำเลยทราบเรื่องดีและรับหน้าที่เป็นผู้ยื่นซองประกวดราคา
โดยได้ประโยชน์ตอบแทนจากการว่าจ้างขนส่งนมและอื่นๆ จากผู้ชนะการประกวด ซึ่งเป็นการกระทำฝ่าฝืนวัตถุประสงค์ของการประกวดราคา ทำให้หน่วยงานราชการได้รับความเสียหาย เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 13 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี เป็นคนละ 26 ปี แต่ตามกฎหมายกำหนดโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี จึงให้จำคุกจำเลยคนละ 10 ปี และปรับคนละ 3,706,741 บาท