"น้องธันย์" เปิดใจตัดพ้อไม่มี จนท.ไทย ช่วยเหลือตอนขึ้นศาลสิงคโปร์ ขณะที่ 7 ต.ค.นี้ เตรียมเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ ช่วยเหลือ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 4 ต.ค. ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย
นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ และนางสาวณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ ซึ่งได้รับอุบัติเหตุตกรางรถไฟฟ้าถูกรถไฟทับเป็นเหตุให้สูญเสียขาสองข้างและได้ยื่นฟ้องต่อรัฐบาลสิงคโปร์เดินทางมาแถลงข่าวเปิดใจกับขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยนำเสนอข่าว โดยมี นายศาสนะ ศิริลาภ กรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ เป็นตัวแทนสมาคมฯ ให้การต้อนรับ
นายกิตติ์ธเนศ กล่าวว่า ตนขอบคุณสื่อมวลชนที่เปิดโอกาสให้มาสัมภาษณ์เปิดใจ
ตอนนี้ศาลสิงคโปร์ทั้ง 3 ศาลได้ตัดสินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลการพิจารณาหากพูดเป็นภาษากีฬาก็ต้องบอกว่าเสมอกัน แต่ทางรัฐบาลสิงคโปร์ไม่ได้รับผิดชอบแต่อย่างใด ทั้งนี้ตลอดเวลาที่เดินทางไปขึ้นศาลสิงคโปร์ไม่มีเจ้าหน้าที่ไทยคอยอำนวยความสะดวก หรือมาให้กำลังใจแต่อย่างใด ซึ่งในวันที่ 7 ต.ค.นี้ ตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อให้รัฐบาลไทยประสานถามกับทางรัฐบาลสิงคโปร์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นายกิตติ์ธเนศ กล่าวต่ออีกว่า ตนอยากเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจให้สนใจเด็กไทย ที่เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน
เมื่อเกิดปัญหาหรืออุบัติเหตุอยากให้มีหน่วยงานเข้าไปดูแลแทนรัฐบาล เพราะภาพรวมของนักศึกษาที่ไปศึกษาต่อนั้นจะได้นำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศเหมือนน้องธันย์ ในแง่ของมนุษยธรรมกรณีของน้องธันย์นั้นไม่เคยได้รับความช่วยเหลือใดๆ เลย
“ที่ศาลสูงสุดตัดสินแบบนี้ตนมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรต่อการสูญเสียขาของลูก ทางศาลบอกว่าเป็นกรณีอุบัติเหตุสาธารณะซึ่งทางสิงคโปร์อ้างว่ามีความปลอดภัยดีอยู่แล้ว แต่หลังเกิดอุบัติเหตุของน้องก็มีการเอาแผงกั้นมาติดไว้ ตนอยากให้สังคมรู้ว่า ประเทศที่รวยเป็นอันดับต้น ๆของโลกที่มีทุกความพร้อมแต่ไม่มีความรับผิดชอบแต่อย่างใด” นายกิตติ์ธเนศ กล่าว
นอกจากนี้นายกิตติ์ธเนศ ยังกล่าวว่า สำหรับขาเทียมคู่นี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ครอบครัวตนมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแสดงให้เห็นว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของไทย เมื่อทรงทราบเรื่องความเดือดร้อนของพสกนิกรไม่ว่าจะมุมไหนของโลก ก็ทรงช่วยเหลือทันที โดยทรงพระราชทานขาเทียมคู่นี้ซึ่งมีมูลค่า 3 ล้านบาท ขณะที่ขาเทียมคู่ต่อไป ซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนโดยเป็นขาที่ใช้ระบบสัมผัสประสาทผ่านทางสมอง โดยมีราคาแพงมาก จึงหวังว่ารัฐบาลไทยเจรจาช่วยเหลือให้ได้ขาคู่ใหม่มาก็เพียงพอแล้ว จะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ไม่ได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจ ขอเพียงโอกาสแค่นี้เท่านั้น
“ที่ผ่านมาทางทนายของฝ่ายตนถูกผู้พิพากษาสิงคโปร์ซักมาโดยตลอดไม่ให้ตั้งตัว วันตัดสินคดีมีคนไปฟัง 30-40 คน ทุกคนส่ายหัวต่อคำตัดสินของศาล เมื่อครอบครัวตนออกจากศาล ได้กางธงชาติไทยมีผู้สื่อข่าวมาถ่ายรูป แต่ปรากฏว่าภาพนี้ถูกตัดออกไม่ได้นำเสนอในสื่อสิ่งพิมพ์ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศที่เจริญแล้ว” นายกิตติ์ธเนศกล่าว
ด้านน้องธันย์ กล่าวว่า ตนขอขอบคุณสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก
โดยวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา คือ วันที่ไปฟังคำพิพากษาวันนั้นรู้สึกกดดันและเศร้า เพราะวินาทีสุดท้ายของคำพิพากษาก็ยังไม่มีการช่วยเหลือข่าวถูกปิด สื่อสิงคโปร์รีบปิดประเด็น ทำให้ข่าวมาไม่ถึงเมืองไทยตนร้องไห้เสียใจมาก เราเป็นคนไทยแต่ไม่มีใครให้การช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ตนหวังพึ่งมาโดยตลอด ตอนนี้ก็คงตั้งใจเรียน ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.5 สายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย โดยอนาคตอยากเป็นนักจิตวิทยา
นายศาสนะ กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนของสมาคมฯ ก็ต้องขอบคุณ คุณพ่อและน้องธันย์ ที่เข้ามาขอบคุณสื่อมวลชน
ถึงผลการตัดสินทางคดีจะไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่ในฐานะสื่อมวลชนไทยก็ยังยินดีที่จะเป็นสื่อกลางในการประสานงานในการช่วยเหลือติดตามและเผยแพร่ข้อมูลให้สังคมได้ทราบต่อไป หากมีอะไรให้ทางสมาคมฯ ช่วยเหลือก็ยินดีที่จะประสานสื่อมวลชนต่อไป..