แม่น้องเจมส์สุดมึน ญาติรุมตอม แฉขอดูแลเงินบริจาค
แม่น้องเจมส์สุดมึน ญาติรุมตอม แฉขอดูแลเงินบริจาค
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอื่นๆ แม่น้องเจมส์สุดมึน ญาติรุมตอม แฉขอดูแลเงินบริจาค
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 23 ก.ย. ที่ห้องสมุดโรงพยาบาลบางมูลนาก จ.พิจิตร มีการประชุมหารือช่วยเหลือวางแนวทางบริหารเงินบริจาคช่วย ด.ช.ธีรพัฒน์ วงศ์บุญมี หรือ น้องเจมส์ อายุ 8 ปี ชาวอ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เด็กชายยอดกตัญญู โดยมีนายพยนต์ อัศวพิชยนต์ นายอำเภอบางมูลนาก เป็นประธานร่วมกับนพ.วิศิษฏ์ อภิสิทธิวิทยา ผอ.โรงพยาบาลบางมูลนาก นายคณานาถ คะชะพา ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายมั่นคง อำเภอบางมูลนาก และนายเอกราช ตันศิริ ผอ.ธนาคารออมสิน สาขาบางมูลนาก
นายพยนต์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เพื่อตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือน้องเจมส์ พร้อมช่วยวางแนวทางการบริหารจัดการเงินบริจาคจากผู้ใจบุญที่บริจาคช่วยเหลือน้องเจมส์และครอบครัว เนื่องจากขณะนี้ยอดเงินบริจาคมีจำนวนมากขึ้น จึงต้องมีคณะทำงานเข้าไปแนะนำและช่วยเหลือแก่ครอบครัวน้องเจมส์อย่างเหมาะสม และป้องกันไม่ให้ผู้ที่คิดมาเอาเปรียบหลอกขอเงินจากน้องเจมส์ไปในทุกช่องทาง โดยที่ประชุมมีมติสรุปเนื้อหาสำคัญ 3 ประการ คือ 1.เรื่องเงินบริจาค ตั้งคณะทำงาน 5 คน นำโดยนายคณานาถ มีหน้าที่จัดสรรเงินสำหรับการใช้จ่ายในครอบครัวน้องเจมส์ ไม่ให้ติดขัดและไม่ให้ใช้ผิดวัตถุประสงค์ ป้องกันไม่ให้เงินหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะน้องเจมส์ยังต้องใช้อีกมากกว่าจะบรรลุนิติภาวะ 2.ที่อยู่ใหม่ของน้องเจมส์และครอบครัว คณะกรรมการเห็นว่าควรจัดหาที่อยู่ใหม่ ทั้งซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านหลังขนาดที่เหมาะสมแก่ครอบครัวน้องเจมส์ ให้น้องเจมส์และครอบครัวได้อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย และ 3.การดูแลนางสุรกิจ วรสิงห์ แม่ของน้องเจมส์ที่กำลังป่วย
นายคณานาถ กล่าวว่า เรื่องเงินที่บริจาคมาจำนวนมาก ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติให้นำไปเปิดบัญชีและจัดสรรเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นระบบที่เหมาะสม เบื้องต้นมองว่าจะมีการเปิดบัญชีฝากเผื่อเรียก ของธนาคารออมสิน สาขาบางมูลนาก เพื่อให้น้องเจมส์และครอบครัวสามารถไปเบิกจ่ายใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม เดือนละ 5,000 บาท หากมีกรณีฉุกเฉินทางคณะกรรมการจะเข้ามาช่วยดูแลอีกครั้งหนึ่ง ส่วนเรื่องที่อยู่ใหม่จะต้องดำเนินการโดยเร็ว เพราะที่อยู่เดิมครอบครัวน้องเจมส์เช่าอยู่ และไม่มีความปลอดภัยเนื่องจากใกล้บ้านมีสระน้ำลึกขนาด 10 เมตร เกรงว่าน้องชายวัยขวบเศษ จะพลัดตกลงไปและเกิดอันตรายได้ ที่ผ่านมาน้องเจมส์เคยพลัดตกไปครั้งหนึ่งแล้ว โชคดีไม่ได้รับอันตรายแม่ช่วยไว้ได้ทัน
ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังที่คณะกรรมการประชุมกันเสร็จสิ้น ก็เชิญนางสุกิจ แม่ของน้องเจมส์ถามเรื่องที่อยู่ ซึ่งนางสุกิจ ร้องขอต่อแพทย์ให้อนุญาตกลับบ้านเพื่อไปดำเนินการเรื่องในครอบครัว พร้อมกล่าวว่า อยากให้ลูกและคนในครอบครัวไปอยู่ในที่ใหม่ เนื่องจากที่อยู่เดิมยังต้องเช่าเขาอยู่ ทำให้มีภาระค่าใช้จ่าย แต่แม่ของสามีมาขอให้ตนอยู่ที่เดิม โดยไม่บอกสาเหตุ แต่ตนยืนยันจะขออยู่ที่ใหม่เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัว จากที่ผ่านมาญาติบางส่วนไม่ยอมรับตน สามีและลูกชายทั้งสอง เนื่องจากแสดงความรังเกียจว่าตนและสามีป่วยเป็นโรคร้าย อีกทั้งไม่ยอมช่วยเหลือเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองของตน แต่มาถึงเวลานี้ เมื่อมีเงินบริจาคเข้ามามากมาย ทุกคนต่างก็แสดงความต้องการจะเข้ามาดูแลเงินบริจาคและดูแลครอบครัวของตน ทั้งๆ ที่ไม่เคยยอมรับมาก่อน
“ดังนั้นอย่างไรก็ตามเพราะความเป็นห่วงลูก ๆ จึงขอออกไปจัดการเรื่องเงินและเรื่องในครอบครัวก่อน เพราะว่ามีญาติผู้ใหญ่บางคนพยายามเร่งเร้าให้ดิฉันไปจัดการโดยเร็ว ถึงแม้ว่าหมอจะไม่อนุญาตก็ต้องกลับบ้าน เพื่อให้เรื่องวุ่นๆ ได้จบลง” นางสุกิจ กล่าว
ต่อมานายพยนต์ นพ.วิศิษฏ์ และคณะ เดินทางไปบ้านของน้องเจมส์ เพื่อส่งนางสุรกิจกลับบ้าน ซึ่งขณะนี้ทั้งครอบครัวน้องเจมส์อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า 3 แม่ลูก เหลือเพียง นายไพบูลย์ วงศ์บุญมี พ่อที่อาการทรุดหนัก ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
นางสุรกิจ แม่น้องเจมส์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ที่ตนเองอยู่โรงพยาบาลไม่ได้ เนื่องจากแม่สามีมาบอกว่ามีปัญหาเรื่องที่บ้าน ซึ่งยอมรับว่าเมื่อช่วงเช้า แม่สามี มาบังคับตนเองให้โทรศัพท์ไปหาครูประจำชั้นน้องเจมส์ เพื่อไม่ให้ตนเองย้ายที่อยู่ ซึ่งตนเองอยากหาที่อยู่ใหม่ให้ลูกเพื่อจะได้ดีขึ้น อีกทั้งที่ผ่านมาเวลาตนเองสามีลูกๆลำบากไม่มีใครมาดูแล ทุกคนรังเกียจ ไม่มีใครเข้าใกล้ มีครูและทางโรงเรียนมาดูแล และให้การช่วยเหลือครอบครัว นอกจากนี้เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่น้องพลอย จินดาโชติ ดาราสาวมาเยี่ยมตนเองที่ รพ.บางมูลนาก ทางแม่สามีก็ถามว่าเขาให้เงินอะไรหรือเปล่าซึ่งตนเองบอกว่าไม่ได้ให้ ซึ่งแม่สามีบอกว่าทำไมไม่ขอเขาไว้ ซึ่งตนเองไม่รู้จะทำอย่างไร
ด้านพลอย จินดาโชติ ดาราสาวและพิธีกรชื่อดัง กล่าวว่า ขณะนี้ติดต่อทางโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯไว้แล้ว เพียงแต่รอให้น้องเจมส์ปิดเทอมภาคเรียนก่อน จึงจะนำตัวมารักษาได้ ซึ่งตรงนี้รอความพร้อมเท่านั้น ส่วนด้านการศึกษาก็ให้ทางโรงเรียนเร่งดำเนินการติดต่อมาในเรื่องค่าเล่าเรียนของน้องเจมส์ และน้องชาย