หลวงปู่พิมสั่งเสียศิษย์จัดพิธีศพเรียบง่าย
หลวงปู่พิมสั่งเสียลูกศิษย์จัดพิธีศพเรียบง่าย เตรียมละสังขารเวลา 21.00น. 9 ก.ย.นี้ แพทย์บอกเป็นไปได้ยากเป็นได้เพียงอดอาหาร-น้ำจนช็อกหมดสติ ด้านพศ.ส่งจนท.ตรวจสอบ
จากที่หลวงปู่พิมเกจิอาจารย์ชื่อดังวัดป่าเวฬุวัน ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สุดท้าย ระบุรู้วันมรณภาพเวลาสามทุ่ม 9 กันยายนนี้ ตั้งโลงเตรียมพร้อมละสังขาร ญาติโยมแห่เข้ากราบ สั่งลูกศิษย์ช่วงที่กำหนดละสังขารห้ามรบกวนในวันที่ 9 ก.ย. 57 จนวันที่ 11 ก.ย. 57 ค่อยเปิดห้องนำร่างมาฌาปนกิจนั้น เมื่อวันที่ 9 ก.ย.นี้ที่วัดเวฬุวันได้มีลูกศิษย์ต่างเดินทางมาร่วมทุกบุญหลังทราบข่าวว่า หลวงปู่เวฬุวัน จันทรังษี หรือหลวงปู่พิม อายุ 65 ปี เจ้าอาวาส จะละสังขารในค่ำนี้ ตามที่หลวงปู่พิมสั่งเสียไว้ว่า จะละสังขารในวันที่ 9 ก.ย.57 เวลา 21.00 นาฬิกา
ช่วงเช้าหลวงปู่พิมยังคงออกมาพบปะญาติโยมตามปกติ แต่ได้งดฉันน้ำและอาหารตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพื่อเตรียมตัวละสังขารโดยในช่วงเช้า ยังคงมีศิษยานุศิษย์มาร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสมทบร่วมก่อสร้างสะพานข้ามคลอง เพื่อให้พระสามเณรและชาวบ้านในชุมชนได้ใช้ประโยชน์ซึ่งถือว่าเป็นคุณประโยชน์สุดท้ายที่หลวงปู่ได้ทำให้แก่ส่วนรวมก่อนจะละสังขาร ทั้งนี้หลวงปู่พิมพ์ได้สั่งเสียลูกศิษย์ก่อนแล้วว่าหากละสังขารแล้วไม่ต้องจัดพิธีศพให้ทำพิธีแบบเรียบง่ายเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนญาติโยม
ด้านพระมหาบัว ปิยวณฺโณ ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของหลวงปู่พิม กล่าวว่า สำหรับในวันนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ยังคงปฏิบัติภารกิจเช่นเดิม หลังจากหลวงปู่พิมมรณภาพแล้วก็ไม่มีงานศพหรือการจัดงานอื่นแต่อย่างใด เพราะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย
แพทย์ระบุหลวงปู่ละสังขารอาจจะเกิดขึ้นได้หากไม่ฉันข้าว-น้ำ
อย่างไรก็ตามมีทั้งผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อว่าเป็นเป็นความจริง ซึ่งนายแพทย์วิทยา ชาติบัญชาชัย รองผู้อำนวยการอาวุโสโรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าหลวงปู่พิมมีโรคประจำตัว เช่น กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร และโรคเก๊าท์ ที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโรคทั่วไปที่สามารถรักษาได้ แต่หากรู้วันเวลาที่เสียชีวิตล่วงหน้า ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน โดยในทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก และไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่ผ่านมาเคยมีกรณีผู้ป่วยเสียชีวิตแต่ก็มีโรคประจำตัวร้ายแรง แต่หลวงปู่พิมอายุเพียง 65 ปี ร่างกายยังแข็งแรงความเป็นไปได้ในการเสียชีวิตจึงน้อยมาก
“แต่ประเด็นที่จะทำให้มีโอกาสเสียชีวิต คือการที่หลวงปู่บอกว่าเตรียมอดข้าวอดน้ำเพื่อเตรียมละสังขาร หากเป็นคนในวัยนี้ก็มีความเป็นไปได้ในเรื่องของร่างกายจะขาดน้ำจนช็อก หากฉันน้ำบางก็อาจจะเพียงอ่อนเพลีย แต่ทั้งนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากเป็นทางวิทยาศาสตร์คนในวัย 65 ปี หากขาดข้าว ขาดน้ำ ก็มีโอกาสช็อก หมดสติ และเสียชีวิตได้” น.พ.วิทยา กล่าว
แพทยสภาชี้นอนโลงปิดแน่นจนตายถือว่าฆ่าตัวตาย
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ในทางการแพทย์ถือว่าการเข้าไปนอนภาวนาในโลงที่ปิดแน่นเช่นนี้ถือเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเมื่อเข้าไปนอนภาวนาในโลงแล้วไม่มีอากาศ ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร อย่างไรก็ต้องเสียชีวิต แต่เจตนาของเจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวันถือเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่คงไม่สามารถตอบได้ แต่ที่แน่ชัดคือผู้ที่รับรู้ว่าท่านจะเข้าไปนอนภาวนาในโลง รู้ว่าเข้าไปนอนอย่างไรก็ต้องเสียชีวิตแน่แต่กลับไม่ช่วย ถือว่ามีความผิดทางอาญา คือมาตรา 374 ที่ระบุว่า ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต ซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่น แต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“การเข้าไปนอนอยู่ในโลงที่ปิดสนิทจะเสียชีวิตด้วยการขาดออกซิเจน เพราะร่างกายสามารถขาดน้ำได้ 1-2 วัน ขาดอาหารได้เป็นอาทิตย์ แต่ขาดออกซิเจนได้ไม่นานก็เสียชีวิตได้ ยิ่งในโลงที่ปิดแน่นเชื่อว่าคงเหลือออกซิเจนอยู่ไม่กี่ชั่วโมง โดยอาการขาดออกซิเจนจะเริ่มจากหน้ามืด เหมือนเวลาถูกคนอื่นบีบคอ จากนั้นจะหมดสติ เนื่องจากออกซิเจนไม่ไปเลี้ยงสมอง ซึ่งเป็นศูนย์สั่งการร่างกาย ทำให้ศูนย์ควบคุมการหายใจไม่ทำงาน ก็จะหยุดหายใจและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งปกติถ้าขาดออกซิเจนประมาณ 8-9 นาทียังพอช่วยชีวิตได้ แต่หากขาดออกซิเจนเกิน 10 นาทีขึ้นไปคงไม่สามารถช่วยได้” ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าว
สำนักงานพระพุทธศาสนาส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเรื่องนี้ได้ เพราะยังไม่ทราบรายละเอียด พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และให้รายงานข้อมูลมาที่พศ.ด้วย
พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ในฐานะโฆษกมหาเถรสมาคม กล่าวว่า การที่ท่านพยากรณ์หรือใช้วิธีใดวิธีหนึ่งทราบถึงวันละสังขารนั้น เชื่อว่าในอดีตคงจะมีพระเถระนักปฏิบัติที่สามารถทราบถึงวันมรณภาพของตัวเองได้ แต่โดยทางปฏิบัติของพระสงฆ์เมื่อท่านพยากรณ์ว่าท่านจะมรณภาพเมื่อใด ท่านไม่มีความจำเป็นต้องบอกให้ผู้ใดทราบก็ได้ หรืออาจเป็นด้วยท่านเพียงแต่ต้องการสั่งเสียญาติผู้ใกล้ชิดให้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียภายหลังที่มรณภาพไปแล้วเท่านั้น เพื่อเป็นการบอกเตือนให้ลูกศิษย์ได้เจริญมรณานุสติ ระลึกถึงความตาย เห็นความตายเป็นปกติธรรมดาของมนุษย์ที่ทุกคนต้องประสบ เพียงแต่คนทั่วไปเอาไปบอกเล่ากันต่อ จนกลายเป็นข่าวฮือฮาเช่นนั้น
“อาตมามิได้รู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบถึงวัตรปฏิบัติของท่านแต่อย่างใด ส่วนท่านจะมรณภาพตามที่บอกกล่าวหรือไม่ คงต้องติดตามดูกัน” โฆษกมหาเถรสมาคม กล่าว