กษัตริย์สั่งเอง ทูตซาอุฯกลับ ชี้เหตุไม่พอใจ คดีดังอัลรูไวลี่
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอื่นๆ กษัตริย์สั่งเอง ทูตซาอุฯกลับ ชี้เหตุไม่พอใจ คดีดังอัลรูไวลี่
กษัตริย์สั่งเอง ทูตซาอุฯกลับ ชี้เหตุไม่พอใจ คดีดังอัลรูไวลี่
เลขานุการเอกสถานทูตซาอุฯชี้แจงสาเหตุอุปทูตถูกเรียกตัวกลับ เผยกษัตริย์ซาอุฯไม่พอพระทัยคดี"อัลรูไวลี่" ทรงรับสั่งเรียกกลับไปเอง เป็นการสะท้อนความไม่พอใจของรัฐบาล ย้ำไม่มีเจตนาให้ร้ายกระบวนการยุติธรรมของไทย แต่ติดใจที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม เตรียมถวายฎีกา "ในหลวง" ส่วนเรื่องการไป "ฮัจญ์" ของมุสลิมไทยไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องศาสนา
จากกรณีนายอับดุลอิลาห์ อัลชุอัยดี อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ถูกรัฐบาลซาอุฯ เรียกตัวกลับประเทศ โดยไม่มีกำหนดจะกลับมาประจำการที่ไทยอีกเมื่อไหร่ ส่วนสาเหตุนั้นคาดว่าสืบเนื่องมาจากคดีอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุฯ ทำให้หวั่นเกรงว่าอาจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย และจากเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลในหมู่ชาวไทยมุสลิม โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อโควตาผู้แสวงบุญที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่นครเมกกะ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ยังคงยืนยันว่าไม่ใช่การลดระดับความสัมพันธ์ แต่กลับไปเพื่อหารือข้อราชการ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย นายอับดุลซาลาม เอ. อัลอินนาซี หัวหน้าแผนกกงสุล และเลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตซาอุฯ ให้สัมภาษณ์ "ข่าวสด" ถึงกรณีรัฐบาลซาอุฯ เรียกอุปทูตกลับว่า สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ บิน อับดุลอะซีซ อัสซะอูด แห่งซาอุฯ ทรงเรียกนายอับดุลอิลาห์ อัลชุอัยบี อุปทูตกลับไปยังกรุงริยาด ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา
นายอับดุลซาลามกล่าวว่า สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งซาอุฯ ทรงมีพระกระแสรับสั่งว่าเนื่องจากไม่พอพระทัยเกี่ยวกับคดีนายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ อีกทั้งการตัดสินพระทัยเรียกอุปทูตกลับยังเป็นไปตามคำแนะนำของคณะกรรมการซาอุฯ ที่ติดตามคดีอัลรูไวลี่ด้วย โดยในขณะนี้นายอับดุลอิลาห์ อุปทูตกำลังให้คำปรึกษาต่อรัฐบาลซาอุฯ เกี่ยวกับคดีอัลรูไวลี่ และไม่ทราบว่าจะกลับมาประจำที่ประเทศไทยอีกเมื่อไหร่ เนื่องจากต้องดูท่าทีของทางการไทยก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเรียกอุปทูตกลับถือว่าเป็นการลดระดับความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศหรือไม่ เลขานุการเอกสถานทูตซาอุฯ กล่าวว่า ขอตอบเพียงแค่ว่า สถานการณ์ที่เห็นอยู่เป็นการสะท้อนความไม่พอใจของรัฐบาลซาอุฯ ต่อคดีอัลรูไวลี่ ส่วนจะมีมาตรการโต้ตอบในอนาคตหรือไม่ ต้องรอการพิจารณาจากรัฐบาลที่กรุงริยาดก่อน ท่าทีของเราไม่ใช่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ เพราะรัฐบาลซาอุฯ ได้อธิบายให้รัฐบาลไทยทราบมาโดยตลอด
"เราไม่ร้องขออะไรมาก เราต้องการเพียงความยุติธรรม และให้กระบวนการไต่สวนเป็นไปตามกฎหมายไทย ซึ่งรัฐบาลซาอุฯ พร้อมรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับไทย พร้อมที่จะร่วมมือและลงทุนกับไทยในหลายด้าน หากได้รับความยุติธรรมในคดีอัลรูไวลี่ เพราะคดีนี้เป็นอุปสรรคเดียวที่ขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ และขอย้ำว่าไม่มีเจตนาให้ร้ายกระบวนการยุติธรรมของไทย เพียงแค่ติดใจกรณีนี้เท่านั้น คดีก่อนหน้านี้ 2 คดีจบไปนานแล้ว ทั้งคดีสังหารทูตซาอุฯ และขโมยเพชรซาอุฯ ส่วนคดีอัลรูไวลี่เป็นคดีสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ เราจึงต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ความยุติธรรม เราไม่สามารถเสแสร้งว่าอัลรูไวลี่ไม่ได้เป็นพลเมืองของเรา" นายอับดุลซาลามกล่าว
เลขานุการเอกสถานทูตซาอุฯ กล่าวต่อว่า สำหรับการต่อสู้คดีนั้น ทางครอบครัวอัลรูไวลี่ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วตั้งแต่เดือนเม.ย. และมอบหมายให้สถานทูตซาอุฯ ถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อร้องขอความเป็นธรรม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนแปลฎีกาจากภาษาอาหรับเป็นภาษาไทย แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะถวายฎีกาเมื่อไหร่ นอกจากนี้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลซาอุฯ จะไม่เปลี่ยนแปลงข้อตกลงเรื่องการไปฮัจญ์ของชาวไทยมุสลิมอย่างแน่นอน เพราะเป็นเรื่องของศาสนา ไม่เกี่ยวกับการเมือง
วันเดียวกัน รศ.ดร.อิสมาแอ อาลี ประธานคณะทำงานอะมีรุลฮัจญ์ สำนักจุฬาราชมนตรี กล่าวว่า การลดระดับความสัมพันธ์ไทย- ซาอุฯ จะไม่มีผลกระทบกับกลุ่มฮุจญาจ หรือ ผู้ที่ไปทำพิธีฮัจญ์ของไทยแต่อย่างใด การประกอบพิธีฮัจญ์เป็นเรื่องศาสนา ที่ชาวมุสลิมทั่วโลกต่างมุ่งหวังที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม ล่าสุดคณะทำงานอะมีรุลฮัจญ์ก็เดินทางไปพบ ผู้แทนของสถานทูตซาอุฯ เพื่อขอความชัดเจนในเรื่องนี้แล้ว
"แต่ยอมรับว่าการลดความสัมพันธ์หากไม่มีการแก้ไขปัญหาอาจจะเกิดขึ้นในระยะยาว อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งหมดกับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศซาอุฯ อาจมีความลำบากมากยิ่งขึ้นในการติดต่อประสานงานเพื่อขอวีซ่าเข้าประเทศซาอุฯ" ประธานคณะทำงานอะมีรุลฮัจญ์กล่าว