กรมพิธีการทูต ชี้รถทูตทุกคันมีเอกสิทธิ์ในการเดินรถ และมีเอกสิทธิ์คุ้มครองในการเปิดเผยข้อมูล ติงสื่อทำหน้าที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านนักข่าวแจงแค่ออกมาขอโทษคนไทยพร้อมให้อภัย
กรณีการแชร์คลิปวิดิโอเผยพฤติกรรมผู้ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสีดำ ยี่ห้อแลนด์โรเวอร์ ทะเบียนสีฟ้า (ทะเบียนองค์กร) อ11-0060
ที่ขับรถย้อนและบีบแตรไล่รถยนต์คันอื่นที่วิ่งมาอย่างถูกกฎหมายตามกฎจราจรให้ถอยหลัง จนกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมถึงความเหมาะสม เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยยังไม่มีหน่วยงานใดออกมาขอโทษ หรือชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น มีเพียงบทสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.เฉลิมพล เกรียท่าทราย สว.จร.สน.พญาไท ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่รับผิดชอบว่า ไม่ว่าคนขับเป็นคนไทย หรือชาวต่างชาติก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายไทย เพราะพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในประเทศไทย ต้องทำตามกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งมีโทษปรับตั้งแต่ 200-500 บาท และแม้จะเป็นรถที่มีทะเบียนองค์ระหว่างประเทศ หรือเป็นรถฑูตก็ไม่ได้รับสิทธิ์การคุ้มครอง เว้นแต่จะมีรถนำขบวนซึ่งมีสิทธิยกเว้นในเส้นทางอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานที่แน่ชัด แต่หากตรวจสอบชัดเจนเมื่อไหร่จะดำเนินการตามกฏหมายทันที ตามที่เดลินิวส์ออนไลน์เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ทีมข่าวเดลินิวส์ออนไลน์ได้ติดต่อไปยังกรมพิธีการทูต กระทรวงการต่างประเทศ
โดยเจ้าหน้าที่ปลายสายให้คำตอบว่า "ทางกระทรวงการต่างประเทศ และทูตประเทศต่าง ๆ ได้เห็นคลิปดังกล่าวแล้ว เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมาให้ ขออธิบายว่า ปกติรถทูตจะได้รับสิทธิ์พิเศษในการเดินรถอยู่แล้ว และขอไม่ให้รายละเอียดว่ารถคันดังกล่าวเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากสถานทูตมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง และจะไม่ตอบคำถามใด ๆ ต่อผู้สื่อข่าว ต้องรอเรียนปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน"
เจ้าหน้าที่สาวกล่าวอย่างหัวเสียต่อว่า "ทั้งนี้ขอติงสื่อมวลชนว่าการลงข่าวดังกล่าว เป็นการกระทำที่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สื่อมวลชนจะกระทำการใดควรพิจาณาไม่ใช่เล่นข่าวตามใจตน"
เมื่อผู้สื่อข่าวทวงถามถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมายไทยจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป
โดยไม่มีใครออกมารับผิดชอบหรือชี้แจงข้อเท็จจริงใช่หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ท่านเดิมตอบว่า "อย่ามาหลอกถาม เพราะดิฉันเคยทำงานสายสื่อสารมวลชนมาก่อน ทราบดีว่าพวกคุณต้องการอะไร หากคุณต้องการทราบข้อมูล ก็ต้องรอให้ทางเราสะดวกเพราะเราก็มีภาระกิจอื่นต้องทำ ที่สำคัญหากสื่อต้องการข้อมูลควรไปสอบถามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะปกติเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดึงข้อมูลทะเบียนรถได้อยู่แล้ว"
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวได้แนะนำว่าการกระทำที่ดีที่สุดไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเฉย ๆ หน่วยงานหรือคนขับรถคันดังกล่าวน่าจะออกมาแสดงความรับผิดชอบขอโทษคนไทย เชื่อว่าทุกคนพร้อมให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว.