จากกรณีป้าบังคับให้เด็กหญิงวัย3ขวบที่เคยเป็นข่าวดังกินอ้วกนอนในกรงสุนัข เลี้ยงดูเหมือนทาส อ้างน้องชอบโกหก ขโมยของ
จากกรณีป้าบังคับให้เด็กหญิงวัย3ขวบที่เคยเป็นข่าวดังกินอ้วกนอนในกรงสุนัข เลี้ยงดูเหมือนทาส อ้างน้องชอบโกหก ขโมยของ จิตแพทย์โรงพยาบาลตำรวจชี้เด็กอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจ แต่ผู้ปกครองไม่ควรลงโทษรุนแรง ใช้ความรักความเข้าใจแก้ไขปัญหา
หากกล่าวถึงข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อปี2555กรณีเด็กหญิงวัย3ขวบ นอนกอดศพแม่ 3วัน3คืน
อยู่ภายในบ้านพักย่านประชาอุทิศแต่เพียงลำพัง คาดว่าหลายๆ คนคงจะจำกันได้ดี เพราะเป็นคดีสะเทือนขวัญ กระชากอารมณ์และบ่งบอกถึงความผูกพันของแม่และลูกได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปหลายคนต่างโล่งใจที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ได้รับการอุปการะจากป้าแท้ๆ ของเธอ ที่ให้คำมั่นสัญญากลางรายการลึกลับทางช่องโทรทัศน์หนึ่งว่า “จะดูแลหลานคนนี้เป็นอย่างดี จะเลี้ยงให้เสมอลูกคนหนึ่ง และจะไม่นำคำพูดของคนอื่นมาใส่ใจ”
มาวันนี้เด็กหญิงได้กลับมาเป็นข่าวดังอีกครั้ง จากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน8คนและพี่เลี้ยงของเด็กว่า
“เด็กได้รับการเลี้ยงดูอย่างโหดร้ายทารุณ โดนทำร้ายร่างกาย และยังบังคับให้เด็กกินอ้วกของลูกพี่ลูกน้อง ถูกบังคับให้กินข้าวสุนัข นอนในกรงสุนัข เด็กถูกเลี้ยงดูยิ่งกว่าทาส” จนกระทั่งศูนย์ประชาบดีได้เข้าช่วยเหลือให้ความคุ้มครองน้องไว้ที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กและครอบครัว ซึ่งในวันที่ 31ก.ค.นี้ จะได้นำตัวเด็กไปตรวจสภาพร่างกายและจิตใจที่ รพ.ตำรวจ เพื่อให้แพทย์ตรวจประเมินว่าน้องมีปัญหาทางร่างกายและจิตใจหรือไม่ ก่อนส่งให้พ่อแท้ๆ ของเด็กรับไปดูแล
ด้านป้าของเด็กหญิงที่ถูกกล่าวหาและได้รับคำพิพากษาจากสังคมไปเรียบร้อยแล้วนั้น ได้สารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า
“ยอมรับว่าทำโทษเด็กจริงและจะไม่เปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดู เนื่องจากมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรเกินเหตุ เด็กมีนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยดี เพราะถูกเลี้ยงแบบเอาอกเอาใจจากแม่และยายของเด็กมากก่อน อีกทั้งคนรอบข้างต่างคอยเอาใจทำให้เด็กเคยตัว ความผิดทั้งหมดอยู่ที่ผู้ใหญ่และคนรอบข้างไม่ใช่ที่เด็ก ทุกวันนี้ที่ทนเลี้ยงมาเพราะนั่งมองหน้าแม่ตัวเองและแม่เด็กทุกวันว่าเราต้องอดทน แต่เราเองก็ต้องมีอารมณ์ เราไม่ใช่พระ ตั้งแต่เช้าไม่เคยได้พัก ไม่เคยมีวันหยุด วันหนึ่งนอนไม่ถึง5ชั่วโมง ตอนนี้ก็ยังรักและเป็นห่วงน้องอยู่ หลังจากนี้ถ้าน้องไปอยู่กับพ่อเชื่อว่าน้องจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ขอให้เข้าใจว่าสิ่งที่สั่งสอนไปนั้นเพราะความรักและความหวังดี”
ล่าสุดมีผู้อ้างว่าเป็นเพื่อนของป้าเด็กออกมาโพสต์ภาพน้องที่กำลังทานข้าวอย่างมีความสุข พาไปทานอาหารนอกบ้าน เด็กๆเล่นกันภายในบ้าน
และข้อความยืนยันการเลี้ยงดูของป้าที่ขัดต่อคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน อีกทั้งได้เผยถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็ก อาทิ เด็กชอบโกหก ขโมยของเพื่อนที่โรงเรียน ขโมยขนมในห้างสรรพสินค้า และชอบนำเรื่องโกหกไปพูดให้เพื่อนบ้านฟัง อีกทั้งแฉพฤติกรรมพี่เลี้ยงที่เคยมาขอเงินป้าเด็ก เมื่อป้าไม่ให้จึงได้โกรธเคืองผูกใจเจ็บ จนโทรแจ้งศูนย์ประชาบดีจนเป็นเหตุให้เกิดข่าวใหญ่ขึ้น
ในเรื่องนี้ทาง แพทย์หญิงอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติและจิตแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า
เด็กเล็กสามารถสร้างเรื่องโกหกได้ ขโมยของได้ แต่ผู้ปกครองต้องรู้จักการลงโทษที่เหมาะสม ไม่รุนแรง อาทิ หากเด็กขโมยของต้องมาถามมาคุยกันว่าขโมยของเพราะสาเหตุอะไร ต้องบอกเด็กว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม สังคมไม่ยอมรับและต้องให้เด็กนำของไปคืน หากยังมีพฤติกรรมเช่นนี้อีกอาจมีการคาดโทษเช่นหักค่าขนม แต่ไม่ควรทุบตี กักขัง หรือบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำต่อบุคคลอื่น
กรณีน้องที่เป็นข่าว พฤติกรรมของน้องอาจเกิดจากน้องได้รับผลกระทบจากการสูญเสียคนที่รักและใกล้ชิดถึง2คนในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
ทำให้น้องเกิดแผลในใจ ผู้ปกครองต้องมีความเข้าใจและอดทนสูง ต้องเลี้ยงดูอย่างถูกต้องเหมาะสม และให้ความรักมากพอเพื่อทดแทนสิ่งที่น้องสูญเสียไป หากไม่ทราบวิธีการเลี้ยงหรือคิดว่าน้องมีปัญหาสามารถพาไปพบกับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นได้ เพื่อรับยาและรับการรักษาที่ถูกต้อง เด็กจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ แต่ทั้งหมดต้องใช้ระยะเวลา ความเข้าใจ ความเห็นใจ ความรักจากคนในครอบรัวและคนรอบข้างเพื่อประคับประคองให้เด็กสามารถกลับมายืนได้อีกครั้ง
เดลินิวส์ออนไลน์