อุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 2 ปี รอลงอาญา “ปริญญา นาคฉัตรีย์” อดีต กกต.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง ชี้ จำเลยไม่มีอำนาจออกระเบียบขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง แม้คืนเงิน แต่ความผิดสำเร็จแล้ว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พ.ย. ที่ห้องพิจารณา 905 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้อง นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร (เสียชีวิตแล้ว) พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตาม ป.อาญา ม.157 จำเลยให้การปฏิเสธอ้างว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เพราะมีหน้าที่เพียงจัดการเลือกตั้ง และบริหารสำนักงาน กกต. เท่านั้น
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2552 สรุปความผิดว่า เมื่อระหว่างวันที่ 16 ส.ค. - 28 ก.ย. 2547
จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีมติเห็นชอบร่างระเบียบ กกต.ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษของประธานและกรรมการ กกต. พ.ศ. 2547 แล้วต่อมามีการประชุมแก้ไขเป็น ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการจ่ายค่าตอบแทนแก่ประธาน และกรรมการ กกต.กำหนดเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือนให้กับพวกจำเลย เดือนละ 20,000 บาท โดยให้ใช้บังคับย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2547 ทั้งที่จำเลยกับพวกไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ว่า จำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้องจริง ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี
ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ป.อาญา ม.157 แต่เมื่อพิเคราะห์ประวัติการศึกษาและรับราชการ อีกทั้งไม่เคยปรากฏมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่ มีเหตุควรปรานีให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1-2 ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปริญญา จำเลยที่ 1 และทนายความจำเลยที่ 1 และ 2 เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาล
โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 บัญญัติว่าการปฎิบัติหน้าที่ กกต. เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.วิอาญา และการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่งตั้งอนุกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนคดีนี้จำนวน 3 คนนั้น
แม้ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2541 มาตรา 45 บัญญัติให้มีกรรมการฯ 1 คน ก็เป็นเพียงการกำหนดขั้นต่ำเท่านั้น ไม่ได้ห้ามให้มีกรรมการฯ เกิน 1 คน ซึ่งการแต่งตั้งอนุกรรมการ ป.ป.ช.มากกว่า 1 คน ก็ไม่ได้กระทบกับการไต่สวนและจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย ดังนั้น การไต่สวนของ ป.ป.ช.จึงชอบแล้วและโจทก์มีอำนาจฟ้อง
สำหรับพ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 27
กำหนดให้ กกต.มีอำนาจเพียงออกระเบียบบริหารบุคคล ทรัพย์สินหรือจ่ายค่าตอบแทนให้กับเลขาธิการ รองเลขาธิการ และลูกจ้าง เท่านั้น จำเลยไม่มีอำนาจกำหนดค่าตอบแทนให้กับตนเอง การที่จำเลยได้ร่วมประชุมกับ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภประธาน กกต. และลงนามออกระเบียบค่าตอบแทนดังกล่าวให้กับตนเองจึงเป็นการออกระเบียบโดยมิชอบ ที่จำเลยอ้างว่าขาดเจตนาและคืนเงินให้กับสำนักงาน กกต.แล้วนั้น แม้จะเป็นเจตนาอันดีแต่ก็ไม่อาจทำให้ความผิดที่สำเร็จแล้วกลายเป็นไม่ผิดได้
และแม้ว่าการออกระเบียบกกต.ดังกล่าวยังไม่ได้ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา แต่ที่ประชุมได้กำหนดให้มีผลบังคับใช้
ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2547 และต่อมาแก้ไขเป็นวันที่ 1 ก.ย. 2547 จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ม.157 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี และให้รอการลงโทษ 2 ปีนั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน สำหรับนายวีระชัย จำเลยที่ 2 ที่เสียชีวิต ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะของนายวีระชัยออก
ภายหลัง นายปริญญา กล่าวว่า จะยื่นฏีกาต่อในประเด็นที่ได้ทำบันทึกคัดค้านมติการขึ้นเงินเดือนของคณะกรรมการ กกต. ในขณะนั้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่ได้กล่าวถึงในประเด็นนี้เลย.