ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. ในฐานะอดีตนายกฯ กล่าวกรณีพนักงานสอบสวนเรียกให้ไปให้ปากคำกรณีผู้เสียชีวิต 13 ศพ
จากเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ว่ายังไม่ได้รับหนังสือเรียก และสอบถามไปยังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎ์ธานี ในฐานะอดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ทราบว่ายังไม่ได้รับหนังสือเช่นกัน ซึ่งหากได้รับหนังสือก็ต้องดูในรายละเอียดว่าให้ไปชี้แจงเรื่องอะไร อยู่ในกรอบอะไร แต่ในแง่ของความเป็นจริงตนพร้อมที่จะไปให้ความร่วมมืออยู่แล้ว และเรียกร้องมาโดยตลอด มั่นใจว่าที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างอยู่ในกรอบของกฎหมาย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมตั้งต้นนั้น ต้องดูว่าการดำเนินการอยู่ในข้อเท็จจริงและเหตุผลมากแค่ไหน แต่สิ่งที่ตนยืนยันคือ ฝ่ายเราไม่เคยไปกดดันใคร ก็ขอให้อีกฝ่ายหยุดกดดันผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย และข้อเท็จจริงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมีหลักฐานอยู่ และถ้าใครพยายามเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีหลักฐานและสามารถอธิบายได้ ซึ่งสังคมต้องเปรียบเทียบและจับตาดู ในสมัยรัฐบาล ปชป. ตนก็ตั้งคณะกรรมการที่มีความเป็นอิสระมาทำงาน และไม่เคยมีการไปกดดันใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เคยตั้งธงเล่นงานหรือขู่ฝ่ายตรงข้าม ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับความเชื่อถือ และความปรองดองจะไม่เกิดขึ้น
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่พนักงานสอบสวนอ้างที่ต้องการเรียกตนและนายสุเทพมาให้ปากคำ เพราะมีการให้ปากคำใหม่จาก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะอดีตโฆษก ศอฉ.ที่ซัดทอดมานั้น ยังไม่เห็นมีอะไรใหม่ เพราะ พ.อ.สรรเสริญก็พูดตามกรอบกฎหมายว่าเมื่อมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ระบบการบังคับบัญชาจะต่างจากการสั่งการในช่วงเหตุการณ์ปกติอย่างไร ซึ่งขณะนี้มีการพยายามแบ่งแยกจากฝ่ายการเมืองและสื่อบางค่าย ที่คิดว่าเป็นธุระของตัวเองไปแล้ว เรื่องนี้ตนไม่สงสัย แต่แปลกใจว่าทำไมมีสื่อบางฉบับรู้ล่วงหน้าก่อนเจ้าตัวเสียอีก ดังนั้น ใครจะมาให้ปากคำก็ต้องให้ปากคำตามความเป็นจริง ใครทำถูกทำผิด ก็ต้องรับผิดชอบกันไป พวกตนยืนยันว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เป็นนโยบายที่เราจำเป็นเพราะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และไม่ใช่ฝ่ายที่ไปริเริ่มความรุนแรง ตรงกันข้ามเป็นฝ่ายที่ถูกล้มโต๊ะเจรจา
ส่วนจะมีอะไรผิดปกติหรือไม่ที่รัฐบาลเร่งรัดดำเนินคดี 13 ศพ ทั้งที่ในสำนวนของดีเอสไอมีการพูดถึงคดีอื่นด้วย ทางด้านอื่นก็ต้องทำ เพราะตอนที่ดีเอสไอสรุปมาก็มีเหตุที่เกิดจากฝ่ายผู้ชุมนุม และอาจจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่หรือไม่ ซึ่งต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย โดยให้พนักงานสอบสวนและอัยการดำเนินการ และควรมีการแถลงข่าวความคืบหน้าในแต่ละคดีด้วยเช่นกัน
"ความจริงแล้วผมเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ทำงาน เพราะเราเห็นกันอยู่ว่าในยุคนี้ข้าราชการถูกกดดันเพื่อต้องตอบสนองความต้องการทางการเมือง แต่ขอย้ำว่าสิ่งที่จะปกป้องคนที่ทำหน้าที่ตามกฎหมายได้ดีที่สุดคือ การทำงานอย่างตรงไปตรงมา ผมอยากจะเตือนว่า ยังมีคนที่รักความจริง รักความถูกต้อง ถ้าผิดเพี้ยนไปเจ้าหน้าที่จะเดือดร้อน ส่วนความพยายามนำคดีนี้เข้าสู่กระบวนการศาลโลก จริงๆ แล้วอยากให้กรณีที่ใกล้เคียงและมีการสรุปเบื้องต้นแล้วว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ก็มีเพียงเรื่องฆ่าตัดตอน ซึ่งนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ก็ควรที่จะเอาเรื่องนี้ไปดำเนินการมากกว่า เพราะเรื่องนี้มีการสอบเบื้องต้น มีการแปลข้อสรุปเป็นภาษาอังกฤษแล้วด้วย" นายอภิสิทธิ์กล่าว