นายรอยล กล่าวว่า ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุน้ำท่วมที่เกิดขึ้น
โดยจะมีนักวิชาการไทยและนักวิชาการต่างประเทศ ร่วมทำงานใน 2 ส่วน ซึ่งนักวิชาการต่างประเทศมีความจำเป็นจะต้องให้ร่วมงาน โดยเฉพาะนักวิชาการจากเนเธอร์แลนด์ เพราะยังมีเรื่องที่เสียหายจำนวนมากและองค์กรยูเนสโกได้เข้ามาดูแล คือโบราณสถาน ในจ.พระนครศรีอยุธยา
"คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง จะมีภารกิจในการสืบหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้น้ำท่วม โดยจะเริ่มดูว่าจุดเริ่มต้นของการบริหารที่ผิดพลาดมาจากตรงไหน อย่างไร เพื่อจะได้นำมาเป็นข้อมูลในการวางแผนจัดการบริหารไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำอีก โดยคณะกรรมการชุดนี้มีคุณวิเชียร ชวลิต เป็นประธาน และมีเวลา 3 เดือนในการหาข้อเท็จจริง" นายรอยลกล่าว
สำหรับการทำงานของคณะอนุกรรมการฯ ชุดเร่งด่วน ที่จะทำงานได้ทันกับฤดูฝนในปี 2555 หรือไม่ นายรอยล กล่าวว่า จากน้ำท่วมครั้งนี้ทหารได้ขุดคลองเสริมเกือบหมดแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ก็อยู่ที่ว่าจะรักษาต่อไปอย่างไร อีกทั้งระบบปั๊มน้ำที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะระบบระบายความร้อนของตู้ควบคุมปั๊มน้ำ
ขณะที่นายปิติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ปัญหาระยะสั้น
เปิดเผยภายหลังการประชุมนัดแรก ว่าที่ประชุมได้กำหนดกรอบมาตรการเพื่อดำเนินการระยะสั้น 4 มาตรการ ประกอบด้วย 1.การบริหารจัดการน้ำโดยเริ่มจากการบริหารน้ำเขื่อนโดยตรง ซึ่งจะไม่คำนึงถึงเฉพาะการชลประทานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงการป้องกันน้ำท่วมควบคู่ไปด้วย 2.พิจารณาในการป้องกันน้ำในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานกลางทางเช่น ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำ คลองระบายน้ำ ที่จะต้องมีการเร่งซ่อมแซมให้แล้วเสร็จภายใน 3-4 เดือนนี้ เพื่อรองรับฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2555
นายปิตะพงษ์ กล่าวต่อว่า 3.พิจารณาการช่วยเหลือชดเชยพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก เช่น พื้นที่การเกษตร ที่เป็นพื้นที่แก้มลิง
โดยต้องให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด และ 4.เร่งแก้ปัญหาการระบายน้ำ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก ให้สามารถระบายน้ำไปสู่ที่สูบน้ำออกได้ โดยเฉพาะในส่วนของคูคลองที่มีปริมาณขยะจำนวนมาก และการบุกรุก ที่จะต้องในกรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าช่วยเหลือแก้ไข ทั้งนี้เรื่องการเสริมคันกั้นน้ำ พร้อมกับออกแบบคันกั้น ก็จะให้เป็นประโยชน์ในแง่การควบคุมน้ำ ซึ่งทั้งหมดเป็นงานด้านวิศวกร
สำหรับการบริหารจัดการก็ต้องมีการปรับการให้ข้อมูลให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นโดยต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสามารถเดินหน้าต่อไปได้
พร้อมกับการปรับระบบเตือนภัย ในพื้นที่ที่น้ำจะต้องเดินทางไป และระดับน้ำที่จะท่วมขังให้ดีขึ้น"ต้องดูกลไกการทำงานนี้ที่ต้องปฏิบัติได้ทันที เช่น การทำงานเป็นหน่วยงานเดียวให้เป็นระบบ จนไปถึงหน่วยงานเดียวเพื่อเป็นองค์กรที่ต้องตัดสินใจได้สำเร็จ ซึ่งก็ต้องดูระบบนี้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง และในวันที่ 1ธ.ค. นี้จะประชุมคณะอนุกรรมการชุดนี้อีกครั้ง เพื่อดูรายละเอียดก่อนเสนอต่อคณะกรรมการ กยน. ชุดใหญ่ ในวันที่ 7 ธ.ค. นี้" นายปิติพงษ์ กล่าว
นายปิติพงษ์ ระบุด้วยว่า นอกจากนี้ปัญหาการระบายน้ำของ กทม. จะต้องไปดูใน 3 เรื่อง คือ 1.การทำให้น้ำเดินทางไปถึงอุโมงค์ยักษ์ 2.การแก้ปัญหาระบบปั๊มน้ำของ กทม.ที่มีการสร้างไว้เพื่อป้องกันน้ำฝน ก็ต้องมีการปรับ และ 3.ระบบคูคลองที่ถูกบุกรุกจำนวนมากและบางช่วงตื้นเขิน