แม้เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท จะลดการระบายน้ำ แต่สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างก็ยังไม่น่าวางใจ จาก 2 ปัจจัยหลักคือการระบายน้ำเต็มพิกัดของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์กว่า 460 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที หรือวันละประมาณ 40 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากปริมาณน้ำเพิ่มเข้ามามากกว่าการระบายออก จนจะล้นอ่างเก็บน้ำในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รวมทั้งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. จะมีร่องมรสุมเคลื่อนตัวลงมาพาดผ่านภาคกลาง ซึ่งจะทำให้ฝนตกชุกระหว่างวันที่ 4-8 ต.ค. และจะมีผลทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงขึ้นอีก
สองสัญญาณดังกล่าว หมายความว่า น้ำเหนือระลอกใหม่กำลังจะไหลลงมาลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง
จ.ปทุมธานี นั้นถือเป็นด่านสำคัญในการรับน้ำเหนือทั้งจากแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่ทุ่งรังสิต ในเขต อ.หนองเสือ และคลองหลวง ซึ่งจะรับน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
สุรชัย ขันอาสา ผวจ.ปทุมธานี ลงพื้นที่สำรวจการผันน้ำลงยังแหล่งกักเก็บและความพร้อมของคันกั้นน้ำต่างๆ เพื่อเตรียมรับมือ หลังเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ได้เร่งระบายน้ำมาทางคลองระพีพัฒน์ ผ่านมาทางคลอง 13 จากประตูระบายน้ำพระศรีศิลป์ และประตูระบายน้ำพระศรีเสาวภาค ต.หนองแค อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยจะมีการเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 10%
ผวจ.ปทุมธานี กล่าวว่า แนวทางแรก คือ การผันน้ำประมาณ 7 ล้าน ลบ.ม. มาเก็บไว้ที่สระเก็บน้ำพระราม 9 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง เพื่อช่วยเกษตรกรและชาวบ้านในพื้นที่เขต อ.คลองหลวง และหนองเสือ ไม่ให้น้ำที่ถูกระบายมาจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เข้าท่วมบ้านเรือนในช่วงที่มีน้ำมาก ส่วนอีกแนวทางคือให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ซ่อมแซมถนนเลียบคลอง 13 ซึ่งเป็นคันกั้นน้ำ แต่เกิดการทรุดตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำเอ่อท่วมถนนและไหลเข้าบ้านเรือนประชาชน
ทั้งนี้ แขวงทางหลวงชนบทปทุมธานี พบว่าถนนเลียบคลอง 13 ทรุดตัว 11 จุด ได้ซ่อมไปแล้ว 5 จุดใหญ่ๆ ยังคงเหลืออีก 6 จุด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้
ขณะที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็เตรียมรับมือกับปัญหาฝนตกน้ำท่วมขังเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงพื้นที่รอยต่อ กทม.-ปทุมธานี