´เคอร์ฟิว´ 5 วัน จับแล้ว 33 คน พัวพันป่วนใต้

"เรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรขั้นเด็ดขาด"


รัฐบาลยังคงเดินหน้าแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้ใช้มาตรการรุนแรงตอบโต้การก่อเหตุของกลุ่มคนร้ายที่สังหารผู้บริสุทธิ์เป็นว่าเล่น โดยเมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (20 มี.ค.) ที่หอประชุมกิตติขจร พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช. กล่าวถึง แนวทางการแก้ปัญหาภาคใต้ โดยเฉพาะอำนาจการบังคับ บัญชาของแม่ทัพภาคที่ 4 ว่า การแต่งตั้งแม่ทัพภาคที่ 4 ให้เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหาร

ถือว่าเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในขีดความสามารถและมีความอาวุโส มีประสบการณ์และโตมาจากกองทัพภาคที่ 4 ดังนั้น จึงให้ แม่ทัพภาคที่ 4 มีอำนาจเต็มในการบริหารในฐานะที่เป็น ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 และกำกับดูแลทุกจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนที่ผู้บังคับบัญชาจะลงไปในพื้นที่นั้น เพียงแต่ไปกำกับดูแลไปถามปัญหาที่มีอยู่และหน่วยเหนือจะให้ความช่วยเหลืออะไรได้บ้าง หรือการทำงานของ พตท. ที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางก็เข้าไปประสานให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน เรามีโครงสร้างบริหาร จัดการชัดเจนอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ก่อนการประชุม ครม. เมื่อวันเดียวกันนี้ 20 มี.ค. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายศิระชัย โชติรัตน์ รอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ รายงานสรุปสถานการณ์ภาคใต้ในภาพรวมให้ ครม. รับทราบ โดยระบุว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลเน้นเรื่องความสมานฉันท์และสันติวิธีเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว กลุ่มประเทศมุสลิมต่างรู้สึกพอใจ แต่ควรจะเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์ผลงานที่รัฐบาลให้การช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเด็ก เยาวชน โรงเรียนและการประกอบอาชีพของสตรีให้ต่างประเทศรับรู้ โดยนายนิตย์ พิบูลย์สงคราม รมว.ต่างประเทศ เสริมว่าสิ่งสำคัญคือการให้ ข่าวมากขึ้น เพราะต่างประเทศให้ความสนใจค่อนข้างมาก

"ลงตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ"


มีรายงานแจ้งว่า ในวันพรุ่งนี้ (21 มี.ค.) เวลา 08.00 น. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปติดตามการแก้ปัญหาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยจะไปรับฟังการบรรยายสรุปที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ก่อนจะเดินทางต่อไปเป็นประธานเปิดงานนโยบายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุข และโครงการพัฒนาหมู่บ้าน-ชุมชนตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในเวลา 10.00 น. ที่โรงแรมทวินโลตัส จ.นครศรีธรรมราช

ด้านคุณหญิงทิพาวดี เฆมสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. ได้ให้ความเห็นชอบระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยบำเหน็จความชอบ สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจกับเจ้าหน้าที่ โดยข้าราชการและพนักงานของรัฐ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐจากทุกหน่วยงานที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จะได้รับการพิจารณาบำเหน็จความดีความชอบจากฐานเดียวกัน และเกิดความยุติธรรมสอดคล้องกับภารกิจที่ได้รับ เช่นจะมีเงินค่าตอบแทนพิเศษ ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน โควตาพิเศษ

นอกเหนือจากโควต้าปกติ มีการทำประกันชีวิตให้และลดระยะเวลาการขอเครื่องราชฯ ด้วย รวมทั้งได้สิทธิ์ในการลาพักร้อน 30 วัน สะสมได้ ไม่เกิน 40 วันเป็นต้น

"หลังสั่งเคอร์ฟิว"


ขณะเดียวกันเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 มี.ค. ที่ฐานปฏิบัติการหน่วยเฉพาะกิจที่ 13 อ.ยะหา จ.ยะลา พ.อ.ชินวัฒน์ แม้นเดช ผบ.ฉก.ที่ 1 ยะลา ได้ประชุมร่วมกับนายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ นายอำเภอยะหา เพื่อสรุปสถานการณ์ ในพื้นที่ช่วงระยะเวลา 5 วันที่ผ่านมา หลังมีการประกาศใช้มาตรการควบคุมพิเศษ หรือเคอร์ฟิวในพื้นที่ อ.ยะหาและ อ.บันนังสตา จ.ยะลา สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยรวม 33 คน มีทั้งระดับแกนนำในพื้นที่ที่วางแผนก่อเหตุยิงถล่มรถตู้โดยสารสายเบตง-หาดใหญ่ และก่อเหตุยิง ตชด. 2 นาย ส่งตัวไปยังศูนย์วิวัฒน์สันติกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยผู้ต้องสงสัยบางคนยอมเปิดเผยตัวและสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรงในพื้นที่จริง อยู่ระหว่างการขยายผลต่อไป

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุมโครงการชลประทานจังหวัดยะลา พล.ร.อ.นคร พิบูลย์สวัสดิ์ หัวหน้าคณะทำงานชุดตรวจเยี่ยมโครงการตามแนวทางพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ชุดที่ 1 จังหวัดยะลา ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเข้าหารือถึงการทำงาน โดย พล.ร.อ.นครกล่าวว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา กรณีคนร้ายลอบยิงลูกจ้างฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จนเสียชีวิต 3 ศพ และบาดเจ็บอีก 3 คน นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยราษฎรที่ทำงานอยู่ในฟาร์มทั้งหมด จึงได้มอบหมายให้ตนเอง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อปรับแผนในการรักษาความปลอดภัย โดยได้มอบหมายให้หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 1 เข้าไปรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยแล้ว

ที่ศาลจังหวัดปัตตานี วันเดียวกัน ได้จัดโครงการไกล่เกลี่ยสามัคคี 60 ปีครองราชย์ จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทน ผลกระทบกรณีตากใบตามคดีแพ่งหมายเลขดำ ที่ 899,903-911/2548 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1078-1080/2549 โดยมีนางสีตีรอกายะ สาแล๊ะ กับพวกรวม 75 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงกลาโหม กับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย โดยนัดมอบเงินชดเชยให้กับญาติ ผู้เสียชีวิตจากการขนย้ายผู้ต้องหาในการชุมนุมประท้วงที่หน้า สภ.อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม48 ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงเสียชีวิตขณะขนย้ายไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี รวม 78 ราย โดยญาติของผู้เสียชีวิตได้ฟ้องร้องต่อศาลในคดีแพ่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 มีการไกล่เกลี่ยคดีมาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบการสมานฉันท์ จนได้ข้อยุติคดีทางแพ่งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 49 โดยรัฐบาลยินยอมชดเชยค่าเสียหายให้กับทางญาติผู้เสียชีวิตจำนวน 78 ราย เป็นเงิน 42 ล้านบาทเศษ

"รัฐบาลยันไม่ใช่ความรุนแรงแก้ปัญหาแน่นอน"


ขณะเดียวกันทาง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อ 20 มี.ค.ว่า จะไม่ยอมทำตามแรงกดดันจากชาวพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่จะให้เปลี่ยนนโยบายแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้จากแนวทางใช้ไม้นวมมาเป็นไม้ แข็ง รัฐบาลจะไม่ใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรงเหมือนในอดีต จะปฏิบัติตามหลักกฎหมาย ทั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ยอมรับว่าความรุนแรงรายวันในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส ทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม พล.อ.สุรยุทธ์ปฏิเสธเรื่องการตั้งกองกำลังป้องกันตนเองของชาวพุทธใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะไม่นำไปสู่สงครามกลางเมืองระหว่างชาวพุทธกับมุสลิม และยืนยันว่าการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ มีความสำคัญเป็นอันดับแรกของรัฐบาลชุดนี้ และช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตจะพยายามช่วยลดปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ให้ได้

ส่วนเหตุการณ์รุนแรงยังมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 08.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.อภิรัฐ สังข์ขาว ผกก.สภ.อ.ยะหา จ.ยะลา พร้อมกำลัง รุดไปตรวจเหตุ คนร้ายลอบวางเพลิงภายในโรงเรียนบ้านบายอ หมู่ 1 ต.ปะแต ปรากฏว่าเมื่อรถวิ่งมาถึงโค้งบ้านกาโต๊ะ หมู่ 7 ต.ปะแต กลุ่มคนร้ายได้โปรยตะปูเรือใบสกัดการเดินทางของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้รถยนต์ชาวบ้านเหยียบตะปูได้รับความเสียหายยางแตกจอดอยู่ริมถนนรวม 3 คัน ต้องใช้เวลาเคลียร์เส้นทางนานกว่า 30 นาทีจึงผ่านไปได้

พบว่าอาคารเรียนชั้นเดียวรวม 3 ห้อง เปิดสอนเฉพาะชั้นอนุบาล ถูกไฟเผาได้รับความเสียหายเฉพาะ ประตูห้องเรียนจำนวน 4 บาน เนื่องจากชาวบ้านช่วยกันดับไว้ได้ทัน ตรวจสอบพบหลักฐานเป็นเศษผ้าขี้ริ้ว กระป๋องน้ำมันเครื่องขนาด 4 ลิตร บรรจุน้ำมันเบนซินถูกวางทิ้งไว้ข้างอาคารเรียนดังกล่าวจึงยึดไว้เป็นหลักฐาน สอบสวนทราบว่าเหตุเกิดเมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 20 มี.ค. โดย ชรบ.พบเห็นแสงไฟลุกโชนขึ้นมาจึงระดมกำลังเข้าไปตรวจสอบและช่วยกันดับไฟไว้ได้ทัน คาดเป็นการสร้างสถานการณ์รายวัน

"ดักวางระเบิดเจ้าหน้าที่"


ภายหลังตรวจสอบที่เกิดเหตุเสร็จสิ้น ทาง ร.ต.อ. วิษณุ ชนะอักษร ผบ.ร้อย ตชด.4402 พร้อมกำลัง นั่งรถกระบะอีซูซุ สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ออกจากโรงเรียนบ้านบายอ มาตามทางหลวงหมายเลข 4176 (ปะแต-บายอ) ห่างจากโรงเรียนมาเพียง 300 เมตร ถูกคนร้ายซึ่งคาดว่าน่าจะดักซุ่มอยู่ข้างทางกดจุดระเบิดแสวงเครื่องที่วางดักไว้ข้างทาง แรงระเบิดทำให้ตัวถังด้านซ้ายรถได้รับความเสียหายเล็กน้อย และมีผู้บาดเจ็บ 1 นาย คือ ด.ต.จงกล พรหมขนาน อายุ 49 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขนซ้าย เบื้องต้นพบว่าคนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในหม้ออะลูมิเนียมหนักประมาณ 5 กก. ก่อนจุดชนวนระเบิดด้วยรีโมตคอนโทรล หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังตรวจค้นบ้านผู้ต้องสงสัยในละแวกดังกล่าวแต่ไม่พบตัว คาดว่าน่าจะหลบหนีไปแล้ว อยู่ระหว่างติดตามตัวมาสอบสวนต่อไป

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ขณะที่ ร.ต.ท.สาโรจน์ ช่องรักษ์ รอง สวส.หน.สภ.ต.บาตูตาโมง อ.บันนังสตา จ.ยะลา นำกำลังออกตรวจพื้นที่มาถึงทางเข้าหมู่บ้านบันนังบูโบ หมู่ 3 ต.ถ้ำทะลุ พบใบปลิวพิมพ์ด้วยกระดาษเอ 4 ทิ้งอยู่ริมถนนสาย 410 ยะลา-เบตงกว่า 10 แผ่น พิมพ์ข้อความเป็นภาษาไทยและภาษาจีนกลางว่า หนึ่งชีวิต...ที่ธารา เรา...ยอมได้ แต่หลายชีวิตที่ปะแต เรา...ยอมไม่ได้ ลงชื่อ จคม.คืนชีพ จึงรายงานให้ พล.ต.ต.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผบก.ภ.จ.ยะลา ทราบ และนำเอกสารใบปลิวที่พบไป ตรวจสอบหาที่มาต่อไป เบื้องต้นคาดว่าอาจจะเป็นกลุ่มญาติของเหยื่อโจรใต้ ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกกลุ่มโจรจีนคอมมิวนิสต์ (จคม.) ออกมาเคลื่อนไหวเตรียมที่จะตอบโต้ การกระทำของกลุ่มโจรใต้ที่ก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวัน

รายต่อมาเวลา 15.30 น.วันเดียวกัน ร.ต.ต.เมฆพิศาล ศรีภิรมย์ ร้อยเวร สภ.อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส รับแจ้งมีคนถูกยิงเสียชีวิตหน้าบ้านเลขที่ 45 หมู่ 14 บ้านดารุสอิซาน ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง รุดไปตรวจสอบพบผู้เสียชีวิต 2 รายนอนตายอยู่ใกล้กัน ทราบชื่อนายยีดิง ลาเต๊ะ อายุ 34 ปี และนางโรสมารียา บูละ อายุ 35 ปี ภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 121 หมู่ 8 ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง มีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืน 11 มม.ที่ใบหน้าและลำตัวรวม 5 นัด นอนตายอยู่หน้าแผงขายสินค้าของตัวเอง สอบสวนทราบว่าทั้งคู่มีอาชีพเร่ขายสินค้าตามตลาดนัด ช่วงเกิดเหตุกำลังเก็บของจะกลับบ้าน มี 2 คนร้ายขี่รถ จยย.ไม่ติดป้ายทะเบียนมาจอดหน้าแผงขายของ คนซ้อนท้ายไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเปิดฉากยิงถล่มใส่ทั้งคู่จนเสียชีวิตคาที่ก่อนจะหลบหนีไป สาเหตุคาดว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มโจรใต้

"ลอบเผารถแบ็กโอ กล้องวงจรปิด"


ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 22.30 น.คืนวันที่ 19 มี.ค. พ.ต.ท.นรัตน์ เทพเฉลิม รอง ผกก.สส.สภ.อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี รับแจ้งมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้น้ำมันเบนซินราดก่อนจุดไฟเผารถแบ็กโฮยี่ห้อโคมัทสุของผู้รับเหมาขุดวางท่อระบายน้ำ หน้ามัสยิดตักวา หมู่ 2 บ้านควน ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี วอดเกือบทั้งคัน ค่า เสียหายประมาณล้านบาทเศษ เวลาไล่เลี่ยกันมีคนร้าย ไม่ทราบจำนวนลอบทุบทำลายและจุดไฟเผากล้องโทรทรรศน์วงจรปิดที่ อบต.น้ำดำนำไปติดตั้งบนเสาไฟฟ้าตรงสี่แยกบ้านน้ำดำ ม.1 ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เสียหายไป 1 ตัวมูลค่า 3 หมื่นบาท เชื่อว่าเป็นการสร้าง สถานการณ์ทั้ง 2 ราย

ส่วนกรณีคนร้ายลอบยิงอาวุธสงครามถล่มโรงเรียนปอเนาะบำรุงศาสตร์วิทยา หมู่ 2 บ้านควนหรัน ต.เปียน จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 8 คน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา และกลายเป็นปัญหาขัดแย้งรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ เพราะชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ถึงขั้นก่อม็อบเผชิญหน้ามาเป็นเวลา 3 วันติดต่อกันนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 มี.ค. พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม นางอังคนา นีละไพจิตร ภรรยาของทนายสมชาย นีละไพจิตร ในฐานะกรรมาธิการติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกำลังทหารและตำรวจ สภ.อ. สะบ้าย้อย จ.สงขลา เดินทางเข้าไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุตามคำเรียกร้องของ กลุ่มชาวบ้าน

"ตรวจยึดระเบิดมือ ระเบิดเพลิง"


พบว่าคนร้ายใช้ทั้งปืนเอ็ม 16 ปืนลูกซอง และเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงถล่มใส่อาคารเรียนจนเสียหาย นอกจากนี้ ยังพบระเบิดขวดอีก 10 ลูกและระเบิดเพลิงที่ยังไม่ได้ใช้งานอีก 12 ขวด จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน ด้านนายดอเลาะ ฮายีเจ๊ะเลาะ เจ้าของโรงเรียนปอเนาะที่เกิดเหตุระบุว่า รู้สึกสบายใจขึ้นที่คุณหญิงพรทิพย์มาตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และขอชี้แจงเรื่องที่สื่อบางแห่งเสนอข่าวว่านักเรียน 2 คนที่เสียชีวิต เป็นคนประกอบระเบิดไว้ก่อเหตุร้าย แต่พลาดถูกระเบิดเสียชีวิตนั้นไม่เป็นความจริง อยากจะให้เสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิตด้วย ด้านกลุ่มชาวบ้านที่ก่อหวอดประท้วงมา 3 วันก็ยอมสลายตัวไปอย่างสงบหลังคณะของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เดินทางกลับไปแล้ว

ที่ จ.สระแก้ว เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (20 มี.ค.) พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผบ.ฉก.กรม ทพ.ที่ 12 กกล. บูรพา พร้อมกำลัง ตั้งจุดตรวจค้นบริเวณหน้ากองร้อยคลองลึกหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ พบกลุ่มมุสลิมชาวเขมร จำนวน 18 คน เป็นชาย 7 คน หญิง 11 คนหอบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่คนละใบผ่านด่านเข้ามาท่าทางมีพิรุธจึงเรียกตรวจค้น แจ้งว่าจะเดินทางไป อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานี เพื่อไปเยี่ยมญาติ จากการตรวจค้นกระเป๋าพบยาปฏิชีวนะกว่า 100 แผง เข็มฉีดยาจำนวน 10 ชุด ยาไม่ทราบชนิดสำหรับฉีดจำนวน 10 หลอด ผงชูรสถุงใหญ่น้ำหนัก 500 กรัม รวม 4 ถุง สารการบูรน้ำ บรรจุถุงน้ำหนักถุงละ 1 กก. จำนวน 4 ถุง เมื่อสอบถามชาวเขมรมุสลิมอ้างว่ายาที่ซุกซ่อนไว้จะนำไปใช้เอง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากมียาเป็นจำนวนมาก อาจจะนำไปสนับสนุนกลุ่มโจรใต้ จึงตรวจยึดไว้ พร้อมนำตัวชาวเขมรมุสลิมทั้ง 18 คน ถ่ายรูปทำประวัติก่อนปล่อยตัวให้เดินทางต่อไปตามจุดหมายปลาย ทาง มีรายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1-20 มี.ค. มีชาวเขมรมุสลิมอายุระหว่าง 18-30 ปี เดินทางไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยแล้ว 367 คน เป็นชาย 226 คน และหญิง 141 คน ส่วนมากอ้างว่าเดินทางไปเที่ยวและเยี่ยม ญาติ แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่ามีคนที่เดินทางกลับมาเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น จึงมีการตรวจเข้มและถ่ายรูปทำประวัติไว้ก่อน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์